This is default featured slide 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เทศกาลอร่อยดีที่สามชุกครั้งที่ 13

มาถึงเทสกาลนี้กันนะครับ เทศกาลที่ใครหลายคนรวมถึงผมด้วย ยังไม่เคยเวียนไปเที่ยวและรู้จักมากนัก แต่ก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อย

 

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานสุพรรณบุรี  91 ถนนพระพันวษาตำบลท่าพี่เลี้ยง
อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี โทร 035 – 525867,035-525880E-mail : tatsuphan@tat.or.th ,www.tatsuphan.net
*********************************************************************************
ขอเชิญเที่ยวงาน “เทศกาลอร่อยดีที่สามชุกครั้งที่ 13”
คณะกรรมการตลาดร้อยปีสามชุก กำหนดจัดงาน "อร่อยดีที่สามชุก กินฟรีทั้งตลาด ปราศจากแอลกอฮอล์ ครั้งที่ 13" พบกับบุฟเฟ่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ในวันที่ 31 ธันวาคม2556 ณ บริเวณตลาดร้อยปีสามชุก อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรีเพียงวันเดียวเท่านั้น ภายในงานมีกิจกรรมมากมาย อาทิเช่น กิจกรรมลดแรกแจกแถม ตั้งแต่เวลา 12.00 – 13.00 น. ให้นักท่องเที่ยวได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมและมีของฝากจากชาวตลาดสามชุกติดไม้ ติดมือกลับไปอีกด้วย และในช่วงเย็นตั้งแต่เวลา 17.00 น. เป็นต้นไปเริ่มเปิดให้กินฟรีทั้งตลาด จะมีพ่อค้า-แม่ค้าในตลาดร้อยปีสามชุกทั้งตลาดนำอาหารมาเลี้ยงนักท่องเที่ยว กว่า 200 รายการ เพื่อเป็นการเลี้ยงขอบคุณนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมเยียนตลาดร้อยปีสามชุก
ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สมาคมตลาดสามชุก โทร 035-571571,
081-1946708 และ ททท.สำนักงานสุพรรณบุรี โทร 035 – 525867,035-525880,
035-525863-4,www.tatsuphan.net

 

 

ตลาดสามชุกไม่กว้างมาก มี 4 ซอย เดินชิลๆ ครึ่งชั่วโมงก็ทั่วล่ะ ไปเริ่มซอยแรกกัน

ถ้าว่างๆ ไม่รู้ไปไหน ขี้เกียจอยู่บ้าน ลองนั่งรถตู้ ไปเที่ยวตลาดสามชุกกัน ชิลๆง่ายๆใกล้กรุง
หรือถ้าขับรถไปก็เที่ยวตลาดสามชุก ไปบึงฉวากต่อได้
ตลาดเปิด 8 โมงเช้า ถึง 5 โมงเย็น  
มาเช้าๆก็ดีกว่าเนอะ จะได้นั่งชิวริมแม่น้ำ ไม่ต้องรีบเดินเหมือนเรา

 

วันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

อยากจะร้องดังๆ กับคาราโอเกะสุดฮอต

อยากจะร้องดังๆ กับคาราโอเกะสุดฮอต

สำหรับหนุ่มสาวคนไหนที่ชื่นชอบการโชว์ลูกคอในการร้องคาราโอเกะ วันนี้ EDTguide ได้รวบรวมร้านคาราโอเกะที่จะสร้างสีสันในการพบปะเพื่อนฟูงหรือนัดสังสรรค์ในโอกาศพิเศษต่างๆ ซึ่งแต่ละที่ให้บรรยายกาศและมีขนาดห้องไว้รองรับเพื่อนๆ กันอย่างจุใจ ใครชอบร้านไหนตามไปร้องดังๆ กันได้เลย

Yes R & B Karaoke
ที่ตั้ง : วัฒนา / กรุงเทพฯ
มาสนุกกับเสียงเพลงด้วยห้องร้องคาราโอเกะมากมายหลากหลายสไตล์ที่พกพาทั้งความแปลก แหวกแนว ย้อนยุค เก๋ไก๋พร้อมเฮฮาไปกับหมู่คณะ >> อ่านต่อ

Monte Carlo
ที่ตั้ง : ลาดพร้าว / กรุงเทพฯ
บาร์แอนด์เรสเทอรองต์ ตกแต่งได้สวยงามและหรูหรา ในสไตล์ยุโรป เหมาะกับการพักผ่อนสังสรรค์ในยามเย็นหรือดินเนอร์กับคู่รักยามค่ำคืน >> อ่านต่อ

The Local Restaurant
ที่ตั้ง : เมืองปทุมธานี / ปทุมธานี
เป็นเรือนไม้กลางสระน้ำที่ให้ความรู้สึกเย็นสบายในบรรยากาศแบบ Outdoor พร้อมด้วยห้องคาราโอเกะที่เป็นห้องกระจกแบบโปร่งๆ >> อ่านต่อ

Waterside Resort Restaurant
ที่ตั้ง : บึงกุ่ม / กรุงเทพฯ
บรรยากาศร่มรื่นเย็นสบาย โดดเด่นด้วยโคมไฟทรงสูง มีคาราโอเกะให้เลือกถึง 12 ห้อง 12 บรรยากาศ รับรองว่ามาที่เดียวสนุกได้ทั้งคืน >> อ่านต่อ

Coco Bar Karting & Restaurant
ที่ตั้ง : บางเขน / กรุงเทพฯ
ทั้งโซน Restaurant สวยชิลล์ โซนคาราโอเกะที่เป็นห้องส่วนตัว และโซนผับที่เปิดตั้งแต่ 4 ทุ่มเป็นต้นไป มาร้านนี้แล้วจึงไม่ต้องคิดว่าจะไปต่อที่ไหน> อ่านต่อ

Kara Fun Music Hunt
ที่ตั้ง : ห้วยขวาง / กรุงเทพฯ
สังสรรค์เฮฮากับกลุ่มเพื่อน ประทับใจกับ Karaoke & Restaurant ในสไตล์ทันสมัยภายใต้คอนเซ็ปต์ Dining Singing Dancing >> อ่านต่อ

Hip Karaoke
ที่ตั้ง : ดินแดง / กรุงเทพฯ
โซนคาราโอเกะเน้นสีสันเอาใจวัยรุ่นไปจนถึงวัยทำงาน ที่มีเพลงให้เลือกร้องทุกแนว เหมาะมากๆ สำหรับคนที่รักการร้องคาราโอเกะ>> อ่านต่อ

Rhythm Karaoke at Hip
ที่ตั้ง : ดินแดง / กรุงเทพฯ
บรรยากาศสบายๆ เอาใจคนรักคาราโอเกะด้วยห้องคาราโอเกะส่วนตัว ตกแต่งด้วยไฟหลากสีที่สามารถเลือกปรับ speed ได้ตามใจชอบ >> อ่านต่อ

Karaoke City
ที่ตั้ง : ลาดพร้าว / กรุงเทพฯ
บริการห้องคาราโอเกะ 30 กว่าห้อง ด้วยการตกแต่งที่หลากหลายสไตล์ สนุกสนานกับเพลงมากมายพร้อมอุปกรณ์ที่มีความทันสมัยและคุณภาพ >>อ่านต่อ

Indy Seabar Pub & Restaurant
ที่ตั้ง : หลักสี่ / กรุงเทพฯ
เต็มอิ่มกับบรรยากาศสไตล์รีสอร์ทสุดหรู พร้อมคาราโอเกะแบบส่วนตัวอีก 10 ห้อง 10 สไตล์ไม่ซ้ำกันให้คุณได้เลือกใช้บริการแบบไม่มีเบื่อ >>อ่านต่อ

>> ร้านสลัด สะบัดความอ้วน

หนุ่มสาวที่กำลังควบคุมน้ำหนัก ต้องทานสลัดเน้นผักสดๆ ช่วยคุณได้ เมนูง่ายๆ ของคนรักสุขภาพ แต่ร้านไหนจะเด็ดทั้งน้ำสลัดและบรรยากาศไม่ได้หาทานกันง่ายๆ เราจึงได้รวบรวมร้านอร่อยสุดเด็ดเพื่อคนพิเศษเช่นคุณ ถ้าพร้อมบอกลาส่วนเกินกันแล้วไปดูกันเลยแล้วคืนนี้คุณอาจนอนไม่หลับก็ได้นะ

วันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2556

เต้าฮวยร้านใกล้วัดหัวลําโพง

เพื่อนแนะนำร้านเต้าฮวยเจ๊หน่อยมาครับ

ร้านนี้อยู่บริเวณวัดหัวลำโพง ใกล้ๆ MRT สามย่าน

เต้าฮวยร้านนี้รสชาติดี และไม่แพงอีกด้วย

ไปดูกัน

บริเวณหน้าร้าน

ร้านจะอยู่บริเวณหัวมุมแยกสามย่าน ฝั่งหัวลำโพง

เมนูเป็นแบบติ๊ก

เต้าฮวยแปะก๊วย 20 บาท

ใส่ปลาท่องโก๋กรอบมาให้เลย

เต้าฮวยนมสดใส่แปะก๊วย 30 บาท

เต้าฮวยนมสดยังใส่ปลาท่องโก๋กรอบเลย

แต่ก็อร่อยนะ

เต้าฮวยนมสด 20 บาท

เฉาก๊วยนมสด 20 บาท

ก็เข้ากันดีนะ ระหว่างเฉาก๊วยกับนมสด

โดยสรุป ร้านนี้เป็นร้านที่เหมาะมากินหลังทานอาหารมื้อหลัก เพราะแต่ละอย่างกินแล้วสดชื่น และล้างปากได้อย่างดี

แต่ทั้งนี้ จะกินก่อนอาหาร หรือกินโดยไม่เกี่ยวกับอาหารมื้อหลัก ก็ไม่มีใครว่า *-*

ส่วนราคาก็ไม่แพงเกินไป

ใครสนใจก็ลองกันได้ครับ

ร้านเต้าฮวยเจ๊หน่อย ตั้งอยู่แยกสามย่าน ตรงฝั่งวัดหัวลำโพง สามารถเดินทางโดย MRT สายย่าน

โทร 089-154-0122 และ 081-775-8408

Latitude : 13.732277,100.528529

http://dunbine.exteen.com/20130320/entry

วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2556

เดินเที่ยว..ตลาดร้อยปี ชมของดี ชุมชนบ้านบุ

ต้นเดือนธันวาที่ผ่านมา "รันนิ่งแมว"  แอบได้ยินคนฝั่งธนเขาคุยกัน

ว่าจะไปเดินเล่นงาน "ยลเสน่ห์ตลาดร้อยปี ชมของดีชุมชนบ้านบุ"
แต่ติดภาระกิจแอ่วเหนือ เลยส่งสายลับไปเก็บภาพมาฝากเพื่อนๆ ชาว exteen ได้ชมกัน

งานนี้เกิดขึ้นจากรวมตัวกันของน้องๆ นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือ "ทีมจุฬาลงขัน"

ร่วมกับเครือข่ายท่องเที่ยวภาคประชาสังคม
กับแนวคิดที่อยากจะรักษามรดกวัฒนธรรมของชาวบ้านบุที่เคยรุ่งเรืองในอดีตให้กลับมามีชีวิตขึ้นอีกครั้ง

ชุมชนบ้านบุ ตั้งอยู่ริมคลองบางกอกน้อยฝั่งใต้ หลังสถานีรถไฟธนบุรี

ยาวไปถึงวัดสุวรรณาราม รวมระยะทางเกือบ 1 กม.

สมัยก่อนจะเรียกชุมชนด้านวัดสุวรรณารามว่า "บ้านบุบน" เรียกชุมชนด้านปากคลองว่า "บ้านบุล่าง"
ซึ่งปัจจุบันคือที่ตั้งของที่ว่าการเขตบางกอกน้อย และเป็นชุมชนที่ตั้งบ้านเรือนกว่า 100 หลังคาเรือน

ขันลงหิน หรือขันบุ ก็มีมาแต่โบราณ ปรากฎหลักฐานในเอกสารสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
เล่าต่อกันมาว่าบรรพบุรุษของชาวบ้านบุอพยพมาจากกรุงศรีอยุธยา หลังเสียกรุงเมื่อ พ.ศ. 2310
ชาวบ้านกลุ่มที่เป็นช่างทำขันลงหิน จึงได้เลือกทำเลที่ตั้งให้อยู่บริเวณริมคลอง ฝั่งบางกอกน้อย

เข้ามาเดินดูภายในงานกันบ้าง..เริ่มจากชมนิทรรศการขันลงหินบ้านบุ หัตถกรรมไทยกว่า 200 ปี
ต่อด้วยการสาธิตการทำขันลงหิน โดยชาวบ้านที่ถือว่าเป็นช่างขันลงหินรุ่นสุดท้ายเลยก็ว่าได้

ร้อนๆ หน่อย ก็เดินไปหาที่ร่มๆ ในวัดสุวรรณาราม เห็นเด็กๆ วิ่งไล่กัน ไม่ต้องแปลกใจ

นี่เป็นกิจกรรมประเพณีวิ่งม้า เพื่อแก้บนหลวงพ่อศาสดาที่เก่าแก่ บริเวณลานรอบพระอุโบสถ

ดูกันจนเพลิน ตลาดจะวายซะก่อน..เราไปปิดท้ายด้วยของกินกันดีกว่า 55+
มื้อนี้.. เอ้ย! งานนี้ มีอาหารหลากหลาย ทั้งขนมไทยโบราณ และเครื่องดื่มขึ้นชื่อ ฝีมือชาวชุมชนบ้านบุ

แม้จะจัดน้อยวันไปหน่อยแต่ก็ถูกใจวัยรุ่นอย่างเรา หากเพื่อนๆ มีเวลาว่าง หาโอกาสไปเดินเที่ยวกันได้
ซึ่งเค้าจะจัดงานอีกครั้ง วันที่ 5-6 มกราคม 2556

ตั้งแต่เวลา 10.00-16.00 น. ณ วัดสุวรรณาราม จรัญสนิทวงศ์ 32

----------------------------------------------------------------------

เตรียมท้อง ฟิตร่างกาย ปั่นจักรยาน เดินชิมขนม วิ่งม้าแก้บน อุดหนุนของที่ระลึกของชุมชน

...บอกต่อกันถ้วนหน้า ไม่อยากให้พลาด (ของถูก แต่อร่อย) จริงๆ

"รันนิ่งแมว"

thank for infor : http://textdeedee.exteen.com

วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555

จดหมายข้ามฝั่งโขง...ฉบับที่หนึ่ง

ถึงเธอ...

     พอใกล้ปลายฝนฉันก็คิด ๆ เอาไว้ว่าจะไปเที่ยวไหนดี ด้วยเวลาและงบประมาณอันจำกัดทำให้ฉันตัดสินใจว่าจะเดินทางไปบ้านพี่เมือง น้องอย่าง 'ลาว'..น่าจะดี...และยังอยากจะไปประเทศเพื่อนบ้านอีกหลายประเทศเกาะกระแส AEC กับเขาสักหน่อย...

     กำหนดการที่ฉันวางไว้คือเดินทางจากรุงเทพไปอุดรธานีตอนกลางคืน เช้ามาก็ซื้อตั๋วรถทัวร์ของบริษัทขนส่งจากกรุงเทพตรงไปวังเวียง เราจะแวะพักที่วังเวียงหนึ่งวัน หลังจากนั้นจะไปหลวงพระบางอีกสองวันแล้วเดินทางกลับด้วยสายการบินลาวมาแวะ เวียงจันทน์ แล้วค่อยนั่งรถข้ามโขงกลับมาฝั่งไทย...แค่การเดินทางก็กินเวลาของเราไปถึง ครึ่งหนึ่งแล้ว ฉันคงเที่ยวได้ไม่ครบทุกที่อย่างที่ได้วางแผนไว้หรอก...แต่ก็เอาเถอะ...แค่ ได้ออกเดินทางไปเจอบ้านเมืองใหม่ ๆ ไปเจอผู้คนใหม่ ๆ ก็คงให้อะไรกับฉันได้มากมายแล้ว

     สิ่งที่ฉันกลัวที่สุดสำหรับการเดินทางก็คือ 'เมารถ' ฉันเป็นพวกขี้เมาขนาดหนักเธอก็รู้ แค่นั่งรถระยะสั้น ๆ อย่างนั่งแท็กซี่หรือรถเมล์บางสายในกรุงเทพก็ยังทำให้ฉันออกอาการได้ นับประสาอะไรกับหนทางคดเคี้ยวอย่างเส้นทางไปหลวงพระบาง ฉันหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตอย่างมโหฬารว่าด้วยแก้ปัญหาเมารถ...และเตรียม ทั้งยาแก้เมารถ ยาหอม ยาอม  ยาดม ยาลม ยาหม่อง และพลาสเตอร์แก้ปวดชนิดเย็นมาแปะที่สะดือ...หวังว่าจะช่วยชีวิตฉันได้บ้าง หรือถ้ามีอาหารเมารถก็ขอให้ไม่แย่จนเกินไปนัก...

     วันแรกไป วังเวียง...เรา ออกเดินทางไปถึงขนส่งอุดรธานีตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่...ตีสี่กว่า ๆ เท่านั้นเอง...แต่ทว่าช่องขายตั๋วไปวังเวียงจะเปิดขายตอนหกโมงครึ่งก็เลยได้ แต่นั่งเล่นนอนเล่นไปเรื่อย ๆ ... การนั่งรอรถทัวร์ หรือการรอขึ้นเครื่องบินเป็นอะไรที่ฝึกความอดทนได้ดีอย่างนึงเหมือนกันนะเธอ ต้องหาอะไรทำ หาเรื่องคุยฆ่าเวลากันไปเรื่อย

     ในที่สุดเราก็ได้ตั๋วไปวังเวียง เจ็ดโมงเช้ารถก็ออกทันที...ฉันควักเอาสารพัดยาขึ้นมาใช้ป้องกันการเมารถไว้ แต่เนิ่น ๆ พอรถมาถึงด่านไทย-ลาว ก็ต้องไปทำพิธีผ่านเข้าเมือง เห็นว่าถ้ามีพาสปอร์ตเราจะอยู่ในลาวได้นานสามสิบวัน แต่ถ้าไม่มีเราสามารถใช้บัตรผ่านแดนได้แต่อยู่ได้แค่เวียงจันท์เท่านั้น เอง...ระหว่างนี้บางคนไปแลกเงินเตรียมไปใช้จ่าย คนขับรถบอกว่าใช้เงินไทยเอาก็ได้ง่ายดี แต่ฉันเคยเห็นข่าวเมื่อไม่นานมานี้ว่า ทางการลาวเริ่มเข้มงวดให้ใช้เงินลาวไม่งั้นจะโดนปรับเป็นหลายแสน (กีบ) ไม่รู้ว่าจริงเท็จ หรือเข้มงวดแค่ไหน แต่ฉันว่าแลกเงินลาวไปบ้างก็ไม่เสียหลาย...ได้ฝึกคิดเลขเร็วบ้างไม่ให้สมอง ซีกซ้ายฝ่อไปเฉย ๆ

     ว่ากันไปนั่น...แต่พอถึงเวลาจริง ๆ เราก็ต้องใช้เงินไทยอยู่ดี...เพราะใช้เงินกระจายเกินงบที่แลกไปเสียเยอะเลย...

     เราเดินทางไปถึงวังเวียงตอนบ่ายสองโมงกว่า ๆ ...สารพัดวิธีแก้เมารถที่ฉันสรรหามาใช้ได้ผลดี...ฉันไม่มีอาการเมารถเลยสัก นิด เสียแต่ว่าหลับเกือบตลอดทางเท่านั้นเอง บ่ายวันนั้นแดดกำลังร้อนและเราก็รู้สึกหิวมาก...หลังจากเข้าบังกะโลที่จอง ไว้แล้วแล้วก็หาร้านกินข้าวเป็นอันดับแรก...ตอนกินลืมดูราคาแค่สองคนเลยหมด ไปเป็นแสน เวลาหิวนี่ทำให้หน้ามืดได้จริง ๆ แต่ของที่ได้มาก็คุ้มนะ กับข้าวกับปลาจานใหญ่เบ้อเริ่ม...อิ่มไปหลายชั่วโมง

     หลังจากท้องอิ่มแล้วเรากลับไปที่พักได้เจอคนที่เดินทางมาด้วยรถคันเดียวกัน กับเราจึงได้เอ่ยทักทายกันบ้าง...ความน่ารักอย่างหนึ่งของการเดินทาง คือการที่เราจะได้คุยกับคนแปลกหน้า ได้แลกเปลี่ยนข้อมูล ได้หัวเราะด้วยกันอย่างไม่รู้สึกขัดเขิน แบบที่เราไม่เคยได้ทำเมื่อใช้ชีวิตประจำวันทั่วไป...หลายคนหลงรักการเดินทาง เพราะสาเหตุนี้ด้วยเหมือกัน...

     วังเวียงมีจุดเด่นคือธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ คนส่วนมากที่มาเที่ยวจะเน้นไปน้ำตก ชมถ้าต่าง ๆ ล่องเรือ พายเรือเล่น หรือทำกิจกรรมแนวผจญภัย...ฉันเองมีเวลาไม่มากจึงเลือกดื่มด่ำกับความงามริมแม่น้ำซองแบบง่าย ๆ และให้รถพาไปเที่ยว 'ถ้ำจัง' ซึ่งเป็นถ้ำที่ใกล้ที่สุดใช้เวลาในการเดินทางน้อยที่สุด เราไปถึงถ้ำแต่ว่าไม่ได้เข้าถ้ำหรอกเธอ..เพราะน้องที่ไปด้วยกันเธอค่อนข้าง กลัวที่แคบเลยไม่ชอบถ้ำเท่าไหร่...ที่สำคัญคือไปถึงก็ใกล้เวลาปิดเข้าชมแล้ว แค่ถ่ายรูปก็กินเวลาไปเยอะ หากจะต้องขึ้นบันไดอีกร้อยกว่าขั้นไปถึงข้างบนคงไม่ทันได้เข้าถ้ำ มืดค่ำแล้วพาลจะกลับลำบาก...เราก็ได้แต่ชอบทิวทัศน์รอบ ๆ และไหว้พระขอพรเท่านั้นเอง

     หลังจากนั้นเราก็ให้รถมาส่งยังที่พัก...วังเวียงยามเย็นอากาศดี เราเดินไปรอบ ๆ ที่พักและบริเวณใกล้เคียง ชมวิวริมแม่น้ำ ดูนักท่องเที่ยวเกาะห่วงยางลอยเท้งเต้มไปตามกระแสน้ำจากที่ไกล ๆ

     ...ท่ามกลางธรรมชาติอันยิ่งใหญ่...มนุษย์กลายเป็นมดตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่งเท่านั้นเอง...

     อาหารค่ำของเราในวันนั้นเป็นขนมปังฝรั่งเศสผ่าตรงกลางแล้วใส่ไก่ทอด ใส่เบคอน มะเขือเทศ หัวหอม ผักกาดหอม และแตงกวา ราดทับด้วยซอสมะเขือเทศ ซอสพริก และมายองเนส ทางนั้นเค้าเรียกว่า..แซนด์วิช...อันนึงใหญ่เบ้อเริ่มเราต้องขอให้แม่ค้าหั่นแบ่งครึ่งเพื่อแบ่งกันกิน เราสั่งโรตี หรือที่ทางนั้นเรียกว่า...แพนเค้ก...อีก ชิ้นซึ่งต้องแบ่งกันกินเหมือนกัน ราคาสองอย่างสามหมื่นกีบ เป็นเงินไทยราวร้อยยี่สิบบาท กินได้สองคนถือว่าไม่แพงนัก ที่ฉันสังเกตุคือบ้านเมืองอื่นคือทำไมอาหารเค้าชิ้นใหญ่ หรือจานใหญ่โตนัก ขอเล็กกว่านี้และถูกลงกว่านี้ก็จะดีมากเลย...แต่มันก็เป็นปัญหาของฉันคน เดียวเท่านั้นแหละ คนอื่นเค้าอาจจะไม่ได้เป็นปัญหาอะไรก็ได้

     เหมือนอย่างขนมปังฝรั่งเศสที่ฉันว่ามันแข็งไป...คนที่กินบ่อย ๆ ก็ไม่คิดอย่างนั้น กลับเป็นอาหารหลักที่ขายดีทั้งคนลาวทั้งฝรั่งด้วยซ้ำ ต่างคน ต่างวัฒนธรรม ต่างความชอบ...ในความแตกต่างนั้นแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ทำให้โลกนี้มี สีสัน มีมิติที่น่าสนใจ...ทำให้เราสนุกมากยิ่งขึ้นเมื่อได้เรียนรู้กันและกัน

     พลบค่ำ...เมืองวังเวียงพราวพรายไปด้วยแสงไฟ นักท่องเที่ยวออกมากินดื่มกันคึกคัก ทราบมาว่าเมืองวังเวียงเพิ่งจัดระเบียบให้จำกัดเวลาในการเปิดผับบาร์ และลดจำนวนร้านรวงริมน้ำให้น้อยลงเพื่อรัษาความสงบและสภาพแวดล้อมตาม ธรรมชาติ เพราะแค่รีสอร์ทหรือบ้านพักมากมายที่ผุดขึ้นเยอะแยะริมน้ำก็แทบจะบดบัง ทิวทัศน์ริมน้ำไปทั้งแนวแล้ว ถ้าไม่จัดระเบียบกันบ้างคงจะเละเทะไปใหญ่ ในบังกะโลถึงกับมีป้ายเตือนเรื่องห้ามนำยาเสพติดเข้ามาเด็ดขาด...ทำให้เดา ได้ว่าว่า ก่อนหน้านี้วังเวียงคงจะมีปัญหาอยู่ไม่น้อย...เช่นเดียวกับสถานที่ท่อง เที่ยวหลาย ๆ แห่งในเมืองไทย ที่เมื่อไหร่คนมาก ๆ เข้าไปถึงและไม่มีการจัดการที่ดี ความเละเทะย่อมตามมา

     คืนนั้น...เราเข้านอนเร็วเพื่อเก็บแรงไว้เดินทางต่อ...

     เช้าวันใหม่เราก็ยังมีเวลาได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นและชมวิวกุ้ยหลินเมืองลาว อากาศสดชื่นลมเย็นจนเสียดายที่ไม่ได้อยู่ต่อสักหลาย ๆ วัน และหากว่าได้อยู่สักพักคงจะเขียนหนังสือให้เธอได้อ่านเป็นเล่ม ๆ เพราะบรรยากาศมันชวนจินตนาการดีเหลือเกิน

     ก่อนหันหลังให้วังเวียง...ฉันหยุดฟังเสียงธรรมชาติรอบตัว...และส่งความคิดถึงข้ามน้ำข้ามฟ้าไปหาเธอด้วย...

    ...ได้รับแล้วใช่ไหม...

ฉันเอง...

อ่านต่อได้ที่ http://sweetdelight.exteen.com/20121119/entry

จดหมายข้ามฝั่งโขง...ฉบับที่หนึ่ง

ถึงเธอ...

     พอใกล้ปลายฝนฉันก็คิด ๆ เอาไว้ว่าจะไปเที่ยวไหนดี ด้วยเวลาและงบประมาณอันจำกัดทำให้ฉันตัดสินใจว่าจะเดินทางไปบ้านพี่เมือง น้องอย่าง 'ลาว'..น่าจะดี...และยังอยากจะไปประเทศเพื่อนบ้านอีกหลายประเทศเกาะกระแส AEC กับเขาสักหน่อย...

     กำหนดการที่ฉันวางไว้คือเดินทางจากรุงเทพไปอุดรธานีตอนกลางคืน เช้ามาก็ซื้อตั๋วรถทัวร์ของบริษัทขนส่งจากกรุงเทพตรงไปวังเวียง เราจะแวะพักที่วังเวียงหนึ่งวัน หลังจากนั้นจะไปหลวงพระบางอีกสองวันแล้วเดินทางกลับด้วยสายการบินลาวมาแวะ เวียงจันทน์ แล้วค่อยนั่งรถข้ามโขงกลับมาฝั่งไทย...แค่การเดินทางก็กินเวลาของเราไปถึง ครึ่งหนึ่งแล้ว ฉันคงเที่ยวได้ไม่ครบทุกที่อย่างที่ได้วางแผนไว้หรอก...แต่ก็เอาเถอะ...แค่ ได้ออกเดินทางไปเจอบ้านเมืองใหม่ ๆ ไปเจอผู้คนใหม่ ๆ ก็คงให้อะไรกับฉันได้มากมายแล้ว

     สิ่งที่ฉันกลัวที่สุดสำหรับการเดินทางก็คือ 'เมารถ' ฉันเป็นพวกขี้เมาขนาดหนักเธอก็รู้ แค่นั่งรถระยะสั้น ๆ อย่างนั่งแท็กซี่หรือรถเมล์บางสายในกรุงเทพก็ยังทำให้ฉันออกอาการได้ นับประสาอะไรกับหนทางคดเคี้ยวอย่างเส้นทางไปหลวงพระบาง ฉันหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตอย่างมโหฬารว่าด้วยแก้ปัญหาเมารถ...และเตรียม ทั้งยาแก้เมารถ ยาหอม ยาอม  ยาดม ยาลม ยาหม่อง และพลาสเตอร์แก้ปวดชนิดเย็นมาแปะที่สะดือ...หวังว่าจะช่วยชีวิตฉันได้บ้าง หรือถ้ามีอาหารเมารถก็ขอให้ไม่แย่จนเกินไปนัก...

     วันแรกไป วังเวียง...เรา ออกเดินทางไปถึงขนส่งอุดรธานีตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่...ตีสี่กว่า ๆ เท่านั้นเอง...แต่ทว่าช่องขายตั๋วไปวังเวียงจะเปิดขายตอนหกโมงครึ่งก็เลยได้ แต่นั่งเล่นนอนเล่นไปเรื่อย ๆ ... การนั่งรอรถทัวร์ หรือการรอขึ้นเครื่องบินเป็นอะไรที่ฝึกความอดทนได้ดีอย่างนึงเหมือนกันนะเธอ ต้องหาอะไรทำ หาเรื่องคุยฆ่าเวลากันไปเรื่อย

     ในที่สุดเราก็ได้ตั๋วไปวังเวียง เจ็ดโมงเช้ารถก็ออกทันที...ฉันควักเอาสารพัดยาขึ้นมาใช้ป้องกันการเมารถไว้ แต่เนิ่น ๆ พอรถมาถึงด่านไทย-ลาว ก็ต้องไปทำพิธีผ่านเข้าเมือง เห็นว่าถ้ามีพาสปอร์ตเราจะอยู่ในลาวได้นานสามสิบวัน แต่ถ้าไม่มีเราสามารถใช้บัตรผ่านแดนได้แต่อยู่ได้แค่เวียงจันท์เท่านั้น เอง...ระหว่างนี้บางคนไปแลกเงินเตรียมไปใช้จ่าย คนขับรถบอกว่าใช้เงินไทยเอาก็ได้ง่ายดี แต่ฉันเคยเห็นข่าวเมื่อไม่นานมานี้ว่า ทางการลาวเริ่มเข้มงวดให้ใช้เงินลาวไม่งั้นจะโดนปรับเป็นหลายแสน (กีบ) ไม่รู้ว่าจริงเท็จ หรือเข้มงวดแค่ไหน แต่ฉันว่าแลกเงินลาวไปบ้างก็ไม่เสียหลาย...ได้ฝึกคิดเลขเร็วบ้างไม่ให้สมอง ซีกซ้ายฝ่อไปเฉย ๆ

     ว่ากันไปนั่น...แต่พอถึงเวลาจริง ๆ เราก็ต้องใช้เงินไทยอยู่ดี...เพราะใช้เงินกระจายเกินงบที่แลกไปเสียเยอะเลย...

     เราเดินทางไปถึงวังเวียงตอนบ่ายสองโมงกว่า ๆ ...สารพัดวิธีแก้เมารถที่ฉันสรรหามาใช้ได้ผลดี...ฉันไม่มีอาการเมารถเลยสัก นิด เสียแต่ว่าหลับเกือบตลอดทางเท่านั้นเอง บ่ายวันนั้นแดดกำลังร้อนและเราก็รู้สึกหิวมาก...หลังจากเข้าบังกะโลที่จอง ไว้แล้วแล้วก็หาร้านกินข้าวเป็นอันดับแรก...ตอนกินลืมดูราคาแค่สองคนเลยหมด ไปเป็นแสน เวลาหิวนี่ทำให้หน้ามืดได้จริง ๆ แต่ของที่ได้มาก็คุ้มนะ กับข้าวกับปลาจานใหญ่เบ้อเริ่ม...อิ่มไปหลายชั่วโมง

     หลังจากท้องอิ่มแล้วเรากลับไปที่พักได้เจอคนที่เดินทางมาด้วยรถคันเดียวกัน กับเราจึงได้เอ่ยทักทายกันบ้าง...ความน่ารักอย่างหนึ่งของการเดินทาง คือการที่เราจะได้คุยกับคนแปลกหน้า ได้แลกเปลี่ยนข้อมูล ได้หัวเราะด้วยกันอย่างไม่รู้สึกขัดเขิน แบบที่เราไม่เคยได้ทำเมื่อใช้ชีวิตประจำวันทั่วไป...หลายคนหลงรักการเดินทาง เพราะสาเหตุนี้ด้วยเหมือกัน...

     วังเวียงมีจุดเด่นคือธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ คนส่วนมากที่มาเที่ยวจะเน้นไปน้ำตก ชมถ้าต่าง ๆ ล่องเรือ พายเรือเล่น หรือทำกิจกรรมแนวผจญภัย...ฉันเองมีเวลาไม่มากจึงเลือกดื่มด่ำกับความงามริมแม่น้ำซองแบบง่าย ๆ และให้รถพาไปเที่ยว 'ถ้ำจัง' ซึ่งเป็นถ้ำที่ใกล้ที่สุดใช้เวลาในการเดินทางน้อยที่สุด เราไปถึงถ้ำแต่ว่าไม่ได้เข้าถ้ำหรอกเธอ..เพราะน้องที่ไปด้วยกันเธอค่อนข้าง กลัวที่แคบเลยไม่ชอบถ้ำเท่าไหร่...ที่สำคัญคือไปถึงก็ใกล้เวลาปิดเข้าชมแล้ว แค่ถ่ายรูปก็กินเวลาไปเยอะ หากจะต้องขึ้นบันไดอีกร้อยกว่าขั้นไปถึงข้างบนคงไม่ทันได้เข้าถ้ำ มืดค่ำแล้วพาลจะกลับลำบาก...เราก็ได้แต่ชอบทิวทัศน์รอบ ๆ และไหว้พระขอพรเท่านั้นเอง

     หลังจากนั้นเราก็ให้รถมาส่งยังที่พัก...วังเวียงยามเย็นอากาศดี เราเดินไปรอบ ๆ ที่พักและบริเวณใกล้เคียง ชมวิวริมแม่น้ำ ดูนักท่องเที่ยวเกาะห่วงยางลอยเท้งเต้มไปตามกระแสน้ำจากที่ไกล ๆ

     ...ท่ามกลางธรรมชาติอันยิ่งใหญ่...มนุษย์กลายเป็นมดตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่งเท่านั้นเอง...

     อาหารค่ำของเราในวันนั้นเป็นขนมปังฝรั่งเศสผ่าตรงกลางแล้วใส่ไก่ทอด ใส่เบคอน มะเขือเทศ หัวหอม ผักกาดหอม และแตงกวา ราดทับด้วยซอสมะเขือเทศ ซอสพริก และมายองเนส ทางนั้นเค้าเรียกว่า..แซนด์วิช...อันนึงใหญ่เบ้อเริ่มเราต้องขอให้แม่ค้าหั่นแบ่งครึ่งเพื่อแบ่งกันกิน เราสั่งโรตี หรือที่ทางนั้นเรียกว่า...แพนเค้ก...อีก ชิ้นซึ่งต้องแบ่งกันกินเหมือนกัน ราคาสองอย่างสามหมื่นกีบ เป็นเงินไทยราวร้อยยี่สิบบาท กินได้สองคนถือว่าไม่แพงนัก ที่ฉันสังเกตุคือบ้านเมืองอื่นคือทำไมอาหารเค้าชิ้นใหญ่ หรือจานใหญ่โตนัก ขอเล็กกว่านี้และถูกลงกว่านี้ก็จะดีมากเลย...แต่มันก็เป็นปัญหาของฉันคน เดียวเท่านั้นแหละ คนอื่นเค้าอาจจะไม่ได้เป็นปัญหาอะไรก็ได้

     เหมือนอย่างขนมปังฝรั่งเศสที่ฉันว่ามันแข็งไป...คนที่กินบ่อย ๆ ก็ไม่คิดอย่างนั้น กลับเป็นอาหารหลักที่ขายดีทั้งคนลาวทั้งฝรั่งด้วยซ้ำ ต่างคน ต่างวัฒนธรรม ต่างความชอบ...ในความแตกต่างนั้นแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ทำให้โลกนี้มี สีสัน มีมิติที่น่าสนใจ...ทำให้เราสนุกมากยิ่งขึ้นเมื่อได้เรียนรู้กันและกัน

     พลบค่ำ...เมืองวังเวียงพราวพรายไปด้วยแสงไฟ นักท่องเที่ยวออกมากินดื่มกันคึกคัก ทราบมาว่าเมืองวังเวียงเพิ่งจัดระเบียบให้จำกัดเวลาในการเปิดผับบาร์ และลดจำนวนร้านรวงริมน้ำให้น้อยลงเพื่อรัษาความสงบและสภาพแวดล้อมตาม ธรรมชาติ เพราะแค่รีสอร์ทหรือบ้านพักมากมายที่ผุดขึ้นเยอะแยะริมน้ำก็แทบจะบดบัง ทิวทัศน์ริมน้ำไปทั้งแนวแล้ว ถ้าไม่จัดระเบียบกันบ้างคงจะเละเทะไปใหญ่ ในบังกะโลถึงกับมีป้ายเตือนเรื่องห้ามนำยาเสพติดเข้ามาเด็ดขาด...ทำให้เดา ได้ว่าว่า ก่อนหน้านี้วังเวียงคงจะมีปัญหาอยู่ไม่น้อย...เช่นเดียวกับสถานที่ท่อง เที่ยวหลาย ๆ แห่งในเมืองไทย ที่เมื่อไหร่คนมาก ๆ เข้าไปถึงและไม่มีการจัดการที่ดี ความเละเทะย่อมตามมา

     คืนนั้น...เราเข้านอนเร็วเพื่อเก็บแรงไว้เดินทางต่อ...

     เช้าวันใหม่เราก็ยังมีเวลาได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นและชมวิวกุ้ยหลินเมืองลาว อากาศสดชื่นลมเย็นจนเสียดายที่ไม่ได้อยู่ต่อสักหลาย ๆ วัน และหากว่าได้อยู่สักพักคงจะเขียนหนังสือให้เธอได้อ่านเป็นเล่ม ๆ เพราะบรรยากาศมันชวนจินตนาการดีเหลือเกิน

     ก่อนหันหลังให้วังเวียง...ฉันหยุดฟังเสียงธรรมชาติรอบตัว...และส่งความคิดถึงข้ามน้ำข้ามฟ้าไปหาเธอด้วย...

    ...ได้รับแล้วใช่ไหม...

ฉันเอง...

อ่านต่อได้ที่ http://sweetdelight.exteen.com/20121119/entry