This is default featured slide 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555

จดหมายข้ามฝั่งโขง...ฉบับที่หนึ่ง

ถึงเธอ...

     พอใกล้ปลายฝนฉันก็คิด ๆ เอาไว้ว่าจะไปเที่ยวไหนดี ด้วยเวลาและงบประมาณอันจำกัดทำให้ฉันตัดสินใจว่าจะเดินทางไปบ้านพี่เมือง น้องอย่าง 'ลาว'..น่าจะดี...และยังอยากจะไปประเทศเพื่อนบ้านอีกหลายประเทศเกาะกระแส AEC กับเขาสักหน่อย...

     กำหนดการที่ฉันวางไว้คือเดินทางจากรุงเทพไปอุดรธานีตอนกลางคืน เช้ามาก็ซื้อตั๋วรถทัวร์ของบริษัทขนส่งจากกรุงเทพตรงไปวังเวียง เราจะแวะพักที่วังเวียงหนึ่งวัน หลังจากนั้นจะไปหลวงพระบางอีกสองวันแล้วเดินทางกลับด้วยสายการบินลาวมาแวะ เวียงจันทน์ แล้วค่อยนั่งรถข้ามโขงกลับมาฝั่งไทย...แค่การเดินทางก็กินเวลาของเราไปถึง ครึ่งหนึ่งแล้ว ฉันคงเที่ยวได้ไม่ครบทุกที่อย่างที่ได้วางแผนไว้หรอก...แต่ก็เอาเถอะ...แค่ ได้ออกเดินทางไปเจอบ้านเมืองใหม่ ๆ ไปเจอผู้คนใหม่ ๆ ก็คงให้อะไรกับฉันได้มากมายแล้ว

     สิ่งที่ฉันกลัวที่สุดสำหรับการเดินทางก็คือ 'เมารถ' ฉันเป็นพวกขี้เมาขนาดหนักเธอก็รู้ แค่นั่งรถระยะสั้น ๆ อย่างนั่งแท็กซี่หรือรถเมล์บางสายในกรุงเทพก็ยังทำให้ฉันออกอาการได้ นับประสาอะไรกับหนทางคดเคี้ยวอย่างเส้นทางไปหลวงพระบาง ฉันหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตอย่างมโหฬารว่าด้วยแก้ปัญหาเมารถ...และเตรียม ทั้งยาแก้เมารถ ยาหอม ยาอม  ยาดม ยาลม ยาหม่อง และพลาสเตอร์แก้ปวดชนิดเย็นมาแปะที่สะดือ...หวังว่าจะช่วยชีวิตฉันได้บ้าง หรือถ้ามีอาหารเมารถก็ขอให้ไม่แย่จนเกินไปนัก...

     วันแรกไป วังเวียง...เรา ออกเดินทางไปถึงขนส่งอุดรธานีตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่...ตีสี่กว่า ๆ เท่านั้นเอง...แต่ทว่าช่องขายตั๋วไปวังเวียงจะเปิดขายตอนหกโมงครึ่งก็เลยได้ แต่นั่งเล่นนอนเล่นไปเรื่อย ๆ ... การนั่งรอรถทัวร์ หรือการรอขึ้นเครื่องบินเป็นอะไรที่ฝึกความอดทนได้ดีอย่างนึงเหมือนกันนะเธอ ต้องหาอะไรทำ หาเรื่องคุยฆ่าเวลากันไปเรื่อย

     ในที่สุดเราก็ได้ตั๋วไปวังเวียง เจ็ดโมงเช้ารถก็ออกทันที...ฉันควักเอาสารพัดยาขึ้นมาใช้ป้องกันการเมารถไว้ แต่เนิ่น ๆ พอรถมาถึงด่านไทย-ลาว ก็ต้องไปทำพิธีผ่านเข้าเมือง เห็นว่าถ้ามีพาสปอร์ตเราจะอยู่ในลาวได้นานสามสิบวัน แต่ถ้าไม่มีเราสามารถใช้บัตรผ่านแดนได้แต่อยู่ได้แค่เวียงจันท์เท่านั้น เอง...ระหว่างนี้บางคนไปแลกเงินเตรียมไปใช้จ่าย คนขับรถบอกว่าใช้เงินไทยเอาก็ได้ง่ายดี แต่ฉันเคยเห็นข่าวเมื่อไม่นานมานี้ว่า ทางการลาวเริ่มเข้มงวดให้ใช้เงินลาวไม่งั้นจะโดนปรับเป็นหลายแสน (กีบ) ไม่รู้ว่าจริงเท็จ หรือเข้มงวดแค่ไหน แต่ฉันว่าแลกเงินลาวไปบ้างก็ไม่เสียหลาย...ได้ฝึกคิดเลขเร็วบ้างไม่ให้สมอง ซีกซ้ายฝ่อไปเฉย ๆ

     ว่ากันไปนั่น...แต่พอถึงเวลาจริง ๆ เราก็ต้องใช้เงินไทยอยู่ดี...เพราะใช้เงินกระจายเกินงบที่แลกไปเสียเยอะเลย...

     เราเดินทางไปถึงวังเวียงตอนบ่ายสองโมงกว่า ๆ ...สารพัดวิธีแก้เมารถที่ฉันสรรหามาใช้ได้ผลดี...ฉันไม่มีอาการเมารถเลยสัก นิด เสียแต่ว่าหลับเกือบตลอดทางเท่านั้นเอง บ่ายวันนั้นแดดกำลังร้อนและเราก็รู้สึกหิวมาก...หลังจากเข้าบังกะโลที่จอง ไว้แล้วแล้วก็หาร้านกินข้าวเป็นอันดับแรก...ตอนกินลืมดูราคาแค่สองคนเลยหมด ไปเป็นแสน เวลาหิวนี่ทำให้หน้ามืดได้จริง ๆ แต่ของที่ได้มาก็คุ้มนะ กับข้าวกับปลาจานใหญ่เบ้อเริ่ม...อิ่มไปหลายชั่วโมง

     หลังจากท้องอิ่มแล้วเรากลับไปที่พักได้เจอคนที่เดินทางมาด้วยรถคันเดียวกัน กับเราจึงได้เอ่ยทักทายกันบ้าง...ความน่ารักอย่างหนึ่งของการเดินทาง คือการที่เราจะได้คุยกับคนแปลกหน้า ได้แลกเปลี่ยนข้อมูล ได้หัวเราะด้วยกันอย่างไม่รู้สึกขัดเขิน แบบที่เราไม่เคยได้ทำเมื่อใช้ชีวิตประจำวันทั่วไป...หลายคนหลงรักการเดินทาง เพราะสาเหตุนี้ด้วยเหมือกัน...

     วังเวียงมีจุดเด่นคือธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ คนส่วนมากที่มาเที่ยวจะเน้นไปน้ำตก ชมถ้าต่าง ๆ ล่องเรือ พายเรือเล่น หรือทำกิจกรรมแนวผจญภัย...ฉันเองมีเวลาไม่มากจึงเลือกดื่มด่ำกับความงามริมแม่น้ำซองแบบง่าย ๆ และให้รถพาไปเที่ยว 'ถ้ำจัง' ซึ่งเป็นถ้ำที่ใกล้ที่สุดใช้เวลาในการเดินทางน้อยที่สุด เราไปถึงถ้ำแต่ว่าไม่ได้เข้าถ้ำหรอกเธอ..เพราะน้องที่ไปด้วยกันเธอค่อนข้าง กลัวที่แคบเลยไม่ชอบถ้ำเท่าไหร่...ที่สำคัญคือไปถึงก็ใกล้เวลาปิดเข้าชมแล้ว แค่ถ่ายรูปก็กินเวลาไปเยอะ หากจะต้องขึ้นบันไดอีกร้อยกว่าขั้นไปถึงข้างบนคงไม่ทันได้เข้าถ้ำ มืดค่ำแล้วพาลจะกลับลำบาก...เราก็ได้แต่ชอบทิวทัศน์รอบ ๆ และไหว้พระขอพรเท่านั้นเอง

     หลังจากนั้นเราก็ให้รถมาส่งยังที่พัก...วังเวียงยามเย็นอากาศดี เราเดินไปรอบ ๆ ที่พักและบริเวณใกล้เคียง ชมวิวริมแม่น้ำ ดูนักท่องเที่ยวเกาะห่วงยางลอยเท้งเต้มไปตามกระแสน้ำจากที่ไกล ๆ

     ...ท่ามกลางธรรมชาติอันยิ่งใหญ่...มนุษย์กลายเป็นมดตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่งเท่านั้นเอง...

     อาหารค่ำของเราในวันนั้นเป็นขนมปังฝรั่งเศสผ่าตรงกลางแล้วใส่ไก่ทอด ใส่เบคอน มะเขือเทศ หัวหอม ผักกาดหอม และแตงกวา ราดทับด้วยซอสมะเขือเทศ ซอสพริก และมายองเนส ทางนั้นเค้าเรียกว่า..แซนด์วิช...อันนึงใหญ่เบ้อเริ่มเราต้องขอให้แม่ค้าหั่นแบ่งครึ่งเพื่อแบ่งกันกิน เราสั่งโรตี หรือที่ทางนั้นเรียกว่า...แพนเค้ก...อีก ชิ้นซึ่งต้องแบ่งกันกินเหมือนกัน ราคาสองอย่างสามหมื่นกีบ เป็นเงินไทยราวร้อยยี่สิบบาท กินได้สองคนถือว่าไม่แพงนัก ที่ฉันสังเกตุคือบ้านเมืองอื่นคือทำไมอาหารเค้าชิ้นใหญ่ หรือจานใหญ่โตนัก ขอเล็กกว่านี้และถูกลงกว่านี้ก็จะดีมากเลย...แต่มันก็เป็นปัญหาของฉันคน เดียวเท่านั้นแหละ คนอื่นเค้าอาจจะไม่ได้เป็นปัญหาอะไรก็ได้

     เหมือนอย่างขนมปังฝรั่งเศสที่ฉันว่ามันแข็งไป...คนที่กินบ่อย ๆ ก็ไม่คิดอย่างนั้น กลับเป็นอาหารหลักที่ขายดีทั้งคนลาวทั้งฝรั่งด้วยซ้ำ ต่างคน ต่างวัฒนธรรม ต่างความชอบ...ในความแตกต่างนั้นแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ทำให้โลกนี้มี สีสัน มีมิติที่น่าสนใจ...ทำให้เราสนุกมากยิ่งขึ้นเมื่อได้เรียนรู้กันและกัน

     พลบค่ำ...เมืองวังเวียงพราวพรายไปด้วยแสงไฟ นักท่องเที่ยวออกมากินดื่มกันคึกคัก ทราบมาว่าเมืองวังเวียงเพิ่งจัดระเบียบให้จำกัดเวลาในการเปิดผับบาร์ และลดจำนวนร้านรวงริมน้ำให้น้อยลงเพื่อรัษาความสงบและสภาพแวดล้อมตาม ธรรมชาติ เพราะแค่รีสอร์ทหรือบ้านพักมากมายที่ผุดขึ้นเยอะแยะริมน้ำก็แทบจะบดบัง ทิวทัศน์ริมน้ำไปทั้งแนวแล้ว ถ้าไม่จัดระเบียบกันบ้างคงจะเละเทะไปใหญ่ ในบังกะโลถึงกับมีป้ายเตือนเรื่องห้ามนำยาเสพติดเข้ามาเด็ดขาด...ทำให้เดา ได้ว่าว่า ก่อนหน้านี้วังเวียงคงจะมีปัญหาอยู่ไม่น้อย...เช่นเดียวกับสถานที่ท่อง เที่ยวหลาย ๆ แห่งในเมืองไทย ที่เมื่อไหร่คนมาก ๆ เข้าไปถึงและไม่มีการจัดการที่ดี ความเละเทะย่อมตามมา

     คืนนั้น...เราเข้านอนเร็วเพื่อเก็บแรงไว้เดินทางต่อ...

     เช้าวันใหม่เราก็ยังมีเวลาได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นและชมวิวกุ้ยหลินเมืองลาว อากาศสดชื่นลมเย็นจนเสียดายที่ไม่ได้อยู่ต่อสักหลาย ๆ วัน และหากว่าได้อยู่สักพักคงจะเขียนหนังสือให้เธอได้อ่านเป็นเล่ม ๆ เพราะบรรยากาศมันชวนจินตนาการดีเหลือเกิน

     ก่อนหันหลังให้วังเวียง...ฉันหยุดฟังเสียงธรรมชาติรอบตัว...และส่งความคิดถึงข้ามน้ำข้ามฟ้าไปหาเธอด้วย...

    ...ได้รับแล้วใช่ไหม...

ฉันเอง...

อ่านต่อได้ที่ http://sweetdelight.exteen.com/20121119/entry

จดหมายข้ามฝั่งโขง...ฉบับที่หนึ่ง

ถึงเธอ...

     พอใกล้ปลายฝนฉันก็คิด ๆ เอาไว้ว่าจะไปเที่ยวไหนดี ด้วยเวลาและงบประมาณอันจำกัดทำให้ฉันตัดสินใจว่าจะเดินทางไปบ้านพี่เมือง น้องอย่าง 'ลาว'..น่าจะดี...และยังอยากจะไปประเทศเพื่อนบ้านอีกหลายประเทศเกาะกระแส AEC กับเขาสักหน่อย...

     กำหนดการที่ฉันวางไว้คือเดินทางจากรุงเทพไปอุดรธานีตอนกลางคืน เช้ามาก็ซื้อตั๋วรถทัวร์ของบริษัทขนส่งจากกรุงเทพตรงไปวังเวียง เราจะแวะพักที่วังเวียงหนึ่งวัน หลังจากนั้นจะไปหลวงพระบางอีกสองวันแล้วเดินทางกลับด้วยสายการบินลาวมาแวะ เวียงจันทน์ แล้วค่อยนั่งรถข้ามโขงกลับมาฝั่งไทย...แค่การเดินทางก็กินเวลาของเราไปถึง ครึ่งหนึ่งแล้ว ฉันคงเที่ยวได้ไม่ครบทุกที่อย่างที่ได้วางแผนไว้หรอก...แต่ก็เอาเถอะ...แค่ ได้ออกเดินทางไปเจอบ้านเมืองใหม่ ๆ ไปเจอผู้คนใหม่ ๆ ก็คงให้อะไรกับฉันได้มากมายแล้ว

     สิ่งที่ฉันกลัวที่สุดสำหรับการเดินทางก็คือ 'เมารถ' ฉันเป็นพวกขี้เมาขนาดหนักเธอก็รู้ แค่นั่งรถระยะสั้น ๆ อย่างนั่งแท็กซี่หรือรถเมล์บางสายในกรุงเทพก็ยังทำให้ฉันออกอาการได้ นับประสาอะไรกับหนทางคดเคี้ยวอย่างเส้นทางไปหลวงพระบาง ฉันหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตอย่างมโหฬารว่าด้วยแก้ปัญหาเมารถ...และเตรียม ทั้งยาแก้เมารถ ยาหอม ยาอม  ยาดม ยาลม ยาหม่อง และพลาสเตอร์แก้ปวดชนิดเย็นมาแปะที่สะดือ...หวังว่าจะช่วยชีวิตฉันได้บ้าง หรือถ้ามีอาหารเมารถก็ขอให้ไม่แย่จนเกินไปนัก...

     วันแรกไป วังเวียง...เรา ออกเดินทางไปถึงขนส่งอุดรธานีตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่...ตีสี่กว่า ๆ เท่านั้นเอง...แต่ทว่าช่องขายตั๋วไปวังเวียงจะเปิดขายตอนหกโมงครึ่งก็เลยได้ แต่นั่งเล่นนอนเล่นไปเรื่อย ๆ ... การนั่งรอรถทัวร์ หรือการรอขึ้นเครื่องบินเป็นอะไรที่ฝึกความอดทนได้ดีอย่างนึงเหมือนกันนะเธอ ต้องหาอะไรทำ หาเรื่องคุยฆ่าเวลากันไปเรื่อย

     ในที่สุดเราก็ได้ตั๋วไปวังเวียง เจ็ดโมงเช้ารถก็ออกทันที...ฉันควักเอาสารพัดยาขึ้นมาใช้ป้องกันการเมารถไว้ แต่เนิ่น ๆ พอรถมาถึงด่านไทย-ลาว ก็ต้องไปทำพิธีผ่านเข้าเมือง เห็นว่าถ้ามีพาสปอร์ตเราจะอยู่ในลาวได้นานสามสิบวัน แต่ถ้าไม่มีเราสามารถใช้บัตรผ่านแดนได้แต่อยู่ได้แค่เวียงจันท์เท่านั้น เอง...ระหว่างนี้บางคนไปแลกเงินเตรียมไปใช้จ่าย คนขับรถบอกว่าใช้เงินไทยเอาก็ได้ง่ายดี แต่ฉันเคยเห็นข่าวเมื่อไม่นานมานี้ว่า ทางการลาวเริ่มเข้มงวดให้ใช้เงินลาวไม่งั้นจะโดนปรับเป็นหลายแสน (กีบ) ไม่รู้ว่าจริงเท็จ หรือเข้มงวดแค่ไหน แต่ฉันว่าแลกเงินลาวไปบ้างก็ไม่เสียหลาย...ได้ฝึกคิดเลขเร็วบ้างไม่ให้สมอง ซีกซ้ายฝ่อไปเฉย ๆ

     ว่ากันไปนั่น...แต่พอถึงเวลาจริง ๆ เราก็ต้องใช้เงินไทยอยู่ดี...เพราะใช้เงินกระจายเกินงบที่แลกไปเสียเยอะเลย...

     เราเดินทางไปถึงวังเวียงตอนบ่ายสองโมงกว่า ๆ ...สารพัดวิธีแก้เมารถที่ฉันสรรหามาใช้ได้ผลดี...ฉันไม่มีอาการเมารถเลยสัก นิด เสียแต่ว่าหลับเกือบตลอดทางเท่านั้นเอง บ่ายวันนั้นแดดกำลังร้อนและเราก็รู้สึกหิวมาก...หลังจากเข้าบังกะโลที่จอง ไว้แล้วแล้วก็หาร้านกินข้าวเป็นอันดับแรก...ตอนกินลืมดูราคาแค่สองคนเลยหมด ไปเป็นแสน เวลาหิวนี่ทำให้หน้ามืดได้จริง ๆ แต่ของที่ได้มาก็คุ้มนะ กับข้าวกับปลาจานใหญ่เบ้อเริ่ม...อิ่มไปหลายชั่วโมง

     หลังจากท้องอิ่มแล้วเรากลับไปที่พักได้เจอคนที่เดินทางมาด้วยรถคันเดียวกัน กับเราจึงได้เอ่ยทักทายกันบ้าง...ความน่ารักอย่างหนึ่งของการเดินทาง คือการที่เราจะได้คุยกับคนแปลกหน้า ได้แลกเปลี่ยนข้อมูล ได้หัวเราะด้วยกันอย่างไม่รู้สึกขัดเขิน แบบที่เราไม่เคยได้ทำเมื่อใช้ชีวิตประจำวันทั่วไป...หลายคนหลงรักการเดินทาง เพราะสาเหตุนี้ด้วยเหมือกัน...

     วังเวียงมีจุดเด่นคือธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ คนส่วนมากที่มาเที่ยวจะเน้นไปน้ำตก ชมถ้าต่าง ๆ ล่องเรือ พายเรือเล่น หรือทำกิจกรรมแนวผจญภัย...ฉันเองมีเวลาไม่มากจึงเลือกดื่มด่ำกับความงามริมแม่น้ำซองแบบง่าย ๆ และให้รถพาไปเที่ยว 'ถ้ำจัง' ซึ่งเป็นถ้ำที่ใกล้ที่สุดใช้เวลาในการเดินทางน้อยที่สุด เราไปถึงถ้ำแต่ว่าไม่ได้เข้าถ้ำหรอกเธอ..เพราะน้องที่ไปด้วยกันเธอค่อนข้าง กลัวที่แคบเลยไม่ชอบถ้ำเท่าไหร่...ที่สำคัญคือไปถึงก็ใกล้เวลาปิดเข้าชมแล้ว แค่ถ่ายรูปก็กินเวลาไปเยอะ หากจะต้องขึ้นบันไดอีกร้อยกว่าขั้นไปถึงข้างบนคงไม่ทันได้เข้าถ้ำ มืดค่ำแล้วพาลจะกลับลำบาก...เราก็ได้แต่ชอบทิวทัศน์รอบ ๆ และไหว้พระขอพรเท่านั้นเอง

     หลังจากนั้นเราก็ให้รถมาส่งยังที่พัก...วังเวียงยามเย็นอากาศดี เราเดินไปรอบ ๆ ที่พักและบริเวณใกล้เคียง ชมวิวริมแม่น้ำ ดูนักท่องเที่ยวเกาะห่วงยางลอยเท้งเต้มไปตามกระแสน้ำจากที่ไกล ๆ

     ...ท่ามกลางธรรมชาติอันยิ่งใหญ่...มนุษย์กลายเป็นมดตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่งเท่านั้นเอง...

     อาหารค่ำของเราในวันนั้นเป็นขนมปังฝรั่งเศสผ่าตรงกลางแล้วใส่ไก่ทอด ใส่เบคอน มะเขือเทศ หัวหอม ผักกาดหอม และแตงกวา ราดทับด้วยซอสมะเขือเทศ ซอสพริก และมายองเนส ทางนั้นเค้าเรียกว่า..แซนด์วิช...อันนึงใหญ่เบ้อเริ่มเราต้องขอให้แม่ค้าหั่นแบ่งครึ่งเพื่อแบ่งกันกิน เราสั่งโรตี หรือที่ทางนั้นเรียกว่า...แพนเค้ก...อีก ชิ้นซึ่งต้องแบ่งกันกินเหมือนกัน ราคาสองอย่างสามหมื่นกีบ เป็นเงินไทยราวร้อยยี่สิบบาท กินได้สองคนถือว่าไม่แพงนัก ที่ฉันสังเกตุคือบ้านเมืองอื่นคือทำไมอาหารเค้าชิ้นใหญ่ หรือจานใหญ่โตนัก ขอเล็กกว่านี้และถูกลงกว่านี้ก็จะดีมากเลย...แต่มันก็เป็นปัญหาของฉันคน เดียวเท่านั้นแหละ คนอื่นเค้าอาจจะไม่ได้เป็นปัญหาอะไรก็ได้

     เหมือนอย่างขนมปังฝรั่งเศสที่ฉันว่ามันแข็งไป...คนที่กินบ่อย ๆ ก็ไม่คิดอย่างนั้น กลับเป็นอาหารหลักที่ขายดีทั้งคนลาวทั้งฝรั่งด้วยซ้ำ ต่างคน ต่างวัฒนธรรม ต่างความชอบ...ในความแตกต่างนั้นแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ทำให้โลกนี้มี สีสัน มีมิติที่น่าสนใจ...ทำให้เราสนุกมากยิ่งขึ้นเมื่อได้เรียนรู้กันและกัน

     พลบค่ำ...เมืองวังเวียงพราวพรายไปด้วยแสงไฟ นักท่องเที่ยวออกมากินดื่มกันคึกคัก ทราบมาว่าเมืองวังเวียงเพิ่งจัดระเบียบให้จำกัดเวลาในการเปิดผับบาร์ และลดจำนวนร้านรวงริมน้ำให้น้อยลงเพื่อรัษาความสงบและสภาพแวดล้อมตาม ธรรมชาติ เพราะแค่รีสอร์ทหรือบ้านพักมากมายที่ผุดขึ้นเยอะแยะริมน้ำก็แทบจะบดบัง ทิวทัศน์ริมน้ำไปทั้งแนวแล้ว ถ้าไม่จัดระเบียบกันบ้างคงจะเละเทะไปใหญ่ ในบังกะโลถึงกับมีป้ายเตือนเรื่องห้ามนำยาเสพติดเข้ามาเด็ดขาด...ทำให้เดา ได้ว่าว่า ก่อนหน้านี้วังเวียงคงจะมีปัญหาอยู่ไม่น้อย...เช่นเดียวกับสถานที่ท่อง เที่ยวหลาย ๆ แห่งในเมืองไทย ที่เมื่อไหร่คนมาก ๆ เข้าไปถึงและไม่มีการจัดการที่ดี ความเละเทะย่อมตามมา

     คืนนั้น...เราเข้านอนเร็วเพื่อเก็บแรงไว้เดินทางต่อ...

     เช้าวันใหม่เราก็ยังมีเวลาได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นและชมวิวกุ้ยหลินเมืองลาว อากาศสดชื่นลมเย็นจนเสียดายที่ไม่ได้อยู่ต่อสักหลาย ๆ วัน และหากว่าได้อยู่สักพักคงจะเขียนหนังสือให้เธอได้อ่านเป็นเล่ม ๆ เพราะบรรยากาศมันชวนจินตนาการดีเหลือเกิน

     ก่อนหันหลังให้วังเวียง...ฉันหยุดฟังเสียงธรรมชาติรอบตัว...และส่งความคิดถึงข้ามน้ำข้ามฟ้าไปหาเธอด้วย...

    ...ได้รับแล้วใช่ไหม...

ฉันเอง...

อ่านต่อได้ที่ http://sweetdelight.exteen.com/20121119/entry

วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

หัวหิน: ย่ำผืนทรายขาว สัมผัสสายลมอ่อน มองทะเลสีครามคู่ฟ้าใส

แล้วพักผ่อนให้สบายในรีสอร์ทที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองอย่าง Boat Lodge Resort Huahin เพียง ฿1,200

656249

ไฮไลต์

  • Boat Lodge Resort Hua Hin ให้บริการที่พักแบบบ้านทรงเรือและหอประภาคาร
  • มีรูปทรงเป็นเอกลักษณ์ ประกอบด้วยห้องพักสไตล์บูติก พร้อมเฟอร์นิเจอร์ที่ออกแบบสั่งทำพิเศษเฉพาะตัว
  • เพลิดเพลินกับสระว่ายน้ำหรือนอนพักผ่อนบนเก้าอี้อาบแดดของโรงแรม หรือจะสนุกไปกับกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ ขับเจ็ทสกี นั่งเรือบานาน่าโบ๊ท หรือขี่ม้าริมชายหาด
  • อยู่ใกล้แหล่งที่เที่ยวแนวธรรมชาติอย่าง น้ำตกป่าละอูและอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน
  • ตั้งอยู่ในเขาตะเกียบห่างจากชายหาดเพียง 150 เมตร และอยู่ห่างจากตลาดกลางคืนหัวหินเพียง 9 กิโลเมตรเท่านั้น

ดีล

  • เลือกพักห้อง Studio 1 คืน หรือ 2 คืน พร้อมอาหารเช้า สำหรับ 2 ท่าน
  • เครื่องดื่มต้อนรับสำหรับ 2 ท่าน
  • ฟรีบริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง Wi-Fi 

รายละเอียด

  • เริ่มจองห้องพักได้ตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน 2555 จนถึงวันที่ 15 มกราคม 2556
  • ใช้สิทธิ์เข้าพักได้ตั้งแต่วันที่ ถึงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2555 จนถึงวันที่ 22 มิถุนายน 2556
  • ไม่สามารถใช้สิทธิ์ Groupon ได้ในวันที่:
    • 8 ธันวาคม 2555 ถึง 10 ธันวาคม 2555
    • 15 ธันวาคม 2555 ถึง 15 มกราคม 2556
    • 23 กุมภาพันธ์ 2556 ถึง 25 กุมภาพันธ์ 2556
    • 6 เมษายน 2556 ถึง 8 เมษายน 2556
    • 13 เมษายน 2556 ถึง 16 เมษายน 2556
    • 4 พฤษภาคม 2556 ถึง 6 พฤษภาคม 2556
    • 24 พฤษภาคม 2556 ถึง 26 พฤษภาคม 2556
  • สามารถอัพเกรดเป็นห้อง Boat Executive ได้ในราคา ฿1,000 ต่อห้อง ต่อคืน; สามารถชำระได้โดยตรงกับทางโรงแรม
  • สามารถซื้อเพื่อมอบเป็นของขวัญ
  • เวลาเช็คอิน 14.00 น. และเวลาเช็คเอาท์ 12.00 น. 
  • ราคาแพ็คเกจเป็นราคาสุทธิ รวมภาษีและเซอร์วิสชาร์จแล้ว
  • ไม่สามารถใช้ Groupon ร่วมกับรายการส่งเสริมการขายอื่นได้
  • การสำรองห้องพักขึ้นอยู่กับจำนวนห้องพักที่ว่าง
  • คิดค่าบริการเพิ่มเติม:
  • กรณีมีผู้เข้าพักเพิ่ม ทางรีสอร์ทคิดค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมสำหรับเตียงเสริมและอาหารเช้า ฿600 ต่อคน ต่อคืน
  • กรณีเข้าพักในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ทางรีสอร์ทคิดค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม ฿600 ต่อห้อง ต่อคืน
  • เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี สามารถเข้าพักได้ฟรี

ขั้นตอนการใช้สิทธิ์

  • สำรองห้องพักล่วงหน้า 3 วัน ที่ info@boatlodgeresort.com
  • โปรดพิมพ์และแสดง Groupon และแสดงก่อนเข้าพัก
  • ไม่สามารถยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงรายละเอียดการเข้าพักได้ หลักจากที่ท่านได้ยืนยันการเข้าพักแล้ว


หัวหิน: ย่ำทรายขาว สัมผัสสายลมอ่อนมองทะเลสีครามแล้วพักผ่อนที่ Boat Lodge Reso... -

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Outing @ อมดาด รีสอร์ท


พื้นที่เวิ่นเว้อ
ฮร๊าาา ได้เขียนเกี่ยวกะที่เที่ยวซะที
กำลังย้อนอดีต เรียงออกมา กว่าจะถึงปัจจุบันไม่รู้ว่าเอนทรี่จะวิ่งไปเท่าไหร่แล้ว
อมดาด รีสอร์ท เขื่อนศรีนครินทร์ เป็นสถานที่ที่ชอบมากกกก และอยากไปอีก แต่ถ้าไปเองค่าใช้จ่ายคงจะเยอะพอสมควร เพราะเค้าคิดเป็นรายหัวแถมยิ่งมากคนถึงจะลดราคา ก็ต้องไปกันเยอะๆ แต่รู้สึกว่ามันครบ ตอนแรกนึกภาพไม่ออก ไปอยู่บนแพ กิน นอน ข้างหน้าเป็นน้ำ มันจะสนุกหรอ สุดท้าย ไม่อยากจะกลับเลยทีเดียว ><
 
เริ่มจากนัดเช้ามาก ทุกคนเป็นห่วงมาก แต่พี่ที่ทำงานมานอนค้างด้วย ออกไปพร้อมกัน เลยไม่มีปัญหาอะไร ทั้งที่สุดท้ายรถตู้ก็ผ่านหน้าปากซอยหออยู่ดี 555+
 
 
พื้นที่จริงจัง

ซึ่งช่วงที่ไปอากาศกำลังดี คือหนาวเย็น สดชื่น ธรรมชาติ แต่ก็ยังไม่ถึงกับหนาวมาก
ช่วงเดือนที่แนะนำคือ ตุลาคม - มีนาคม
 
เริ่มจากนั่งรถตู้ตรงยาวไปกาญเลยไปแวะที่สำคัญบ้าง ผ่านเขาชนไก่ แวะสะพานข้ามแม่น้ำแคว ทางรถไฟ ฯลฯ แต่ก็ต้องรีบไปขึ้นเรือ เพราะเจ้าของรีสอร์ทมารอรับ
 
ไปถึงตอนบ่ายนั่งเรือที่รีสอร์ทมารับ
 
 
 
 
 
 
ระหว่างทางก็จะเห็นแพของรีสอร์ทอื่น หรือแพเดี่ยวๆที่คนอาจจะเช่าออกไปค้างคืนกลางเขื่อนเอง
 
วิวสวย แดดกำลังดี
 
นั่งเรือชมวิวเพลินๆ เลยไม่รู้สึกว่านานอะไรมากเท่าไหร่
 
นั่งไปจนถึงด้านในสุดของตัวเขื่อน ซึ่งจะเป็นส่วนที่ติดกะอุทยานแห่งชาติ ก็จะถึงรีสอร์ท
 
น้ำเขียวและนิ่งเพราะลึกเกินสิบเมตร เล่นน้ำตั้งแต่บ่ายจนเย็น มีบานาน่าโบ๊ท  มีเรือคายัค มีเรือพาย
 
 
ที่พักสวย สไตล์ไม้ตัดกับสีขาว เหมาฝั่งทางขวา
 
 
 
ตอนกลางคืนมีคาราโอเกะ มีกิจกรรมให้ทำบ้าง หรือจะเลือกอยู่ของใครของมันในบ้านก็ได้

อาหารอร่อยมาก สดมาก ไม่อั้น ทั้งมื้อเย็นมื้อเช้า
 
 
 
ตอนเช้ามีเรือเร็วมารับไปภูเขาฝั่งตรงข้ามดูพระอาทิตย์ขึ้น
 
 
 
 
 
 
ความจริงมีพาไปน้ำตกด้วย แต่ทางนี้ยกเลิกเพราะอะไรจำไม่ได้แล้ว ==
มีพาไปไร่องุ่นด้วย แต่เดือนที่ไป ยังไม่มีองุ่นเลยยกเลิก
วันสุดท้าย ชื่อก็บอกว่าเอ้าท์ติ้ง ตอนเช้าพอทานอาหารเช้าเสร็จ สายๆก็มีแข่งเล่นเกมส์นู้นนี่นั่น สนุกสนาน แจกของ และเปลี่ยนเสื้อผ้า ประมาณเที่ยงก็นั่งเรือออกมา รถตู้ที่เช่าไว้รอรับกลับ กทม. มีแวะซื้อของฝากนิดหน่อย มาถึง กทม. พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินและหมดแค่ค่าของฝากนั่นแหละประมาณห้าร้อย นอกนั้นฟรี คิ
 


http://patchytoniji.exteen.com


วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ทัวร์เชียงใหม่ เที่ยวทุกที่ทั่วภาคเหนือ กับแพ็คเกจทัวร์โดนๆจาก DestinyThai


"DestinyThai.com"
บริษัททัวร์ เดสทินี ทราเวล เซอร์วิส บริการทัวร์ท่องเที่ยวทั่วภาคเหนือ ในทุกๆสถานที่น่าเที่ยว
ไม่ว่าจะเป็นทัวร์เชียงใหม่ ทัวร์เชียงราย และในหลายๆพื้นที่ที่น่าสนใจ เหมาะแก่การท่องเที่ยว
เราเปิดให้บริการทัวร์มากว่า 10 ปี รู้ทุกสถานที่น่าเที่ยวในภาคเหนือโดยเฉพาะแพ็กเกจทัวร์เชียงใหม่
ปัจจุบัน ทาง เดสทินี ทราเวล เซอร์วิส  นอกจากจะมีบริการทัวร์เชียงใหม่และภาคเหนือ
เรายังได้ขยายการให้บริการแก่นักท่องเที่ยว และเพื่อนๆที่สนใจรักในการทัวร์ท่องเที่ยว
เราขยายบริการทัวร์ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็น ทัวร์ลาว ทัวร์พม่า ทัวร์มาเลเซีย
ทัวร์อินโดนีเซีย และทัวร์เวียดนาม เป็นต้น มีหลากหลายแพ็จเกจทัวร์ให้ลูกค้าได้เลือก

บริษัททัวร์ เดสทินี ทราเวล เซอร์วิส ใบอนุญาตนำเที่ยวเลขที่ 21/00363
"เราได้รับเกียรติจาก Trade Leader's Club กรุงมาดริด ประเทศเสปน ให้เข้ารับรางวัลชนะเลิศ"
"Golden Tourism Award สาขา บริษัทนำเที่ยว จากประเทศไทยค่ะ ลูกค้ามั่นใจได้กับบริการของเรา"
เพื่อนๆที่สนใจทัวร์กับเรา ดูรายละเอียดได้ที่นี่ : www.destinythai.com
Destiny Travel Service
โทร : 053-217186-7
โทร/แฟกซ์ : 053-217-184
E-mail : destinythai@gmail.com
Website : www.destinythai.com
106/28(1) หมู่ 3 ต.ช้างเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 50300

วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555

art in pattaya

ได้มีเวลาไปเที่ยว PATTAYA ก็แวะไปชมตามกระแส กับเค้าบ้างครับ
ค่าเข้าชม 150 บาท/ท่าน สำหรับผู้ใหญ่
78/34 M.9 Pattaya  2 nd Road Nongprue. Bang Lamung. Chonburi  Thailand  20150


ที่ ตั้ง ก็หาได้ง่ายๆครับ มาจาก กทม ให้เลี้ยวขวาเข้า พัทยาเหนือ ขับผ่านไฟแดงแรกมา พอเจอไฟแดงที 2 ก็เลี้ยวซ้าย ขับตรงไปประมาณ 200 เมตร ให้เลี้ยวขวาตราง Big-eye เข้าไปประมาณ 100 เมตร อาคารจะอยู่ขวามือครับ
โดยรวมแล้ว สวยมากครับ มีรูปให้เลือกถ่าย หลากหลายแนว ครับ
ที่ผมรีวิวเป็นบางส่วน นะครับ




http://thaitraveldd.exteen.com/20121018/art-in-paradise-pattaya-3

พระตำหนักภูพิงค์ฯ

ทริปเล็กๆ แบบบังเอิญ...

         คุณพ่อไปประชุมที่เชียงใหม่...คุณแม่เลยตามไปดูแล (คุณพ่อสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง เพิ่งผ่าตัดไป) .... ทางนี้ก็เพิ่งสอบวิทยานิพนธ์จบไป.... อ๊ากกก ขอปลดแอกชีวิต ...หนีห่างจากทีสีสเล่มโต ๆ บ้าง ...ตามไปดูแลคุณพ่อกับคุณแม่....ฟี่เลยบังเอิญได้เที่ยว...ไปในตัว  ^^

           เชียงใหม่วันแรก...ฝนตก!!! ตกแบบ...ช้านจะตกทั้งวัน!! 

                 โหยยย .... ได้แต่นอนอยู่ที่โรงแรม ทั้งวันเลย T_T 

          วันที่สองฝนก็ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี (เกินไป)  เพลาๆ บ้างก็ได้

                  ยืนหน้างอ...ริมกระจก แล้วฝนก็หยุด!!!

                  อ้าว...นึกจะหยุดก็หยุดซะงั้น? โหยยย ยังไม่ทันได้คิดเลยจะไปไหน...

          โชคดีที่...คุณพ่อจะพาลูกน้องไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพฯ เด็กน้อยเลยได้ติดสอยห้อยตาม (กล้าใช้คำว่า เด็กน้อย) 5555+ ..... รถแดงแถวนั้น...โบกไป แบบเหมาจ่ายรายวัน ไปกันหลาย ๆ คนก็...คุ้มอยู่น่ะ 

          บรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ก็ขึ้นรถไป...เด็กสุดก็คุมท้ายรถไปซะ 

          (อยากจะโหน...แต่ไม่ใจพอ เอ้อ...)

          ตกลงกันไว้ว่าจะไป พระตำหนักภูพิงค์ฯก่อน (เพราะปิด 4 โมงเย็น)

          แล้วค่อยไปบ้านม้งดอยปุย และลงมาดอยสุเทพฯ 

          จากนั้น...ก็ซื้อขนมนมเนย พร้อม 13.30 ล้อหมุน....

เอิ่ม...เราสาบานได้ว่านี่คือเวลา 14.00 น. 



             อากาศรอบ ๆ ชิวมาก.... นั่งรถไปสักพัก หมองเริ่มลง ...

             เราสามารถเอามือสัมผัสหมอกได้ ...โหยยย มันสดชื่นมากๆ ๆ เลยน่ะ  อากาศเย็นลงฉับพลัน ลมเย็นๆ พัดมาเรื่อยๆ  .... สุดยอด .... เราได้แต่หลับตา และให้สายหมอกพัดเอาความเหนื่อยล้าตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ให้หมดไป... เติมพลังให้กับร่างกาย จิตใจ สูดหายใจลึกๆๆ อ็อก....ควันรถแดงเต็มเลย ..... แต่พอผ่านไปสักพัก ก็ดีขึ้น อากาศแบบนี้ อยากอยู่ถาวรซะแล้วสิเรา

             ระหว่างทางก็จะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเช่ามอไซต์ขับขึ้นมา ก็โบกมือทักทายเป็นระยะ สนุกอ่ะ สนุกมาก  รอยยิ้ม...แบบนี้  หาได้ไม่ง่ายน่ะ .... สุขใจจัง

              มาถึงพระตำหนักภูพิงค์ฯแล้ว .... แน่นอน ต้องใช้บริการรถกอล์ฟนำเที่ยวของทางพระตำหนักอยู่แล้ว เพราะแต่ละราย...เดินขึ้นเนินก็หอบแล้ว 555 ... ขอ ชื่นชมบริการนี้นะคะ ไม่ใช่แค่ว่า ขับแต่รถ ...มีทั้ง มุขฮา...ข้อมูล...ความรู้...ช่างภาพ...ไกด์...หลายหน้าที่มากกก!!!!!  บริการดี ประทับใจ!!!!!

              ในพระตำหนักมีดอกไม้หลากหลายมาก....เรามีความสุขมาก....กับการชื่นชมดอกไม้  สวยสด งดงาม  นั่นบ่งบอกให้รู้ว่า การอยู่ในที่ที่เหมาะสม...ย่อมนำมาซึ่งสิ่งมหัศจรรย์ ...

               จะมหัศจรรย์แค่ไหน  ลองมาสัมผัสด้วยตัวคุณเองสิ!!!!  ^^

            หลังจากชื่นชมความงามของพระตำหนักฯ ธรรมชาติ ดอกไม้สวย ๆ ...ก็มาได้ครึ่งทางแล้ว  ... แฮ่กๆๆ  หิว... เค้ามีขนมและน้ำขายด้วย.... อ๊ะ!! จัดไป  อร่อยดีน่ะค่ะ ห้อมมมมหอมมมม....!!!

               จากนั้นก็ไปชมจุดต่าง ๆ ต่อ ... (สารภาพ ว่า จำไม่ได้ มัวแต่ถ่ายรูปและโอ้โห...นั่นก็สวย นี่ก็สวย... สวยไปหมดเลย...เลยไม่ได้ฟังเจ้าหน้าที่บรรยายสักเท่าไหร่...แหะๆๆๆ) มีบางจุดเจ้าหน้าที่เค้าก็พาเดินชม และไปเจอคุณพี่ คุณลุงผู้ดูแลสวนดอกไม้...ได้พบปะทักทาย...

               บอกตรงๆๆเลยว่า หนูอิจฉามากค่ะ ...^^

               แล้วก็จบลง... ต้องไปบ้านม้งดอยปุยต่อ แต่เรางอแง...ขออยู่ที่นี่ ให้บรรดาผู้ใหญ่ไปต่อ แล้วค่อยแวะมารับหนูน่ะค่ะ ... เหลือเวลานิดหน่อยก่อนที่พระตำหนักจะปิด  ...

         โบกมือ บ๊ายยยบายยยย....แล้ว...เราก็ลุยเดี่ยว

                เราเลือกที่จะ เดินดีกว่า...

                มันช่างเป็นการเดินเพียงลำพังที่มีความสุขมาก ...

                อยากจะหยุดตรงไหนก็หยุด ... อยากจะชื่นชมตรงไหนนาน ๆ ก็ทำได้ตามใจตัวเอง....ตาใจตัวเองมากไป ... ไปไม่ถึงไหนเลย  หลงอยู่จุดเดียว...หลงดอกไม้จนโงหัวไม่ขึ้น ... เผลออยู่จุดนี้ไปสัก 15 นาที  กับคุณลุงผู้ดูแลสวน

                ขณะถ่ายรูปอยู่...หมอกก็ลงจัด จัดว่ามากกก เพราะมองไม่เห็นอะไรเลย.... คุณลุงร้องบอกให้เรา ยืนอยู่กับที่ อย่าเดินไปไหนน่ะ ... ลุงหาไฟฉายก่อน ... สัก 2 นาที หมอกก็ไม่จางไปเลย

                จู่ ๆ ก็มีชายหนุ่มถือร่มสีดำ ถือไฟฉายเข้ามา...โผล่มาจากกลุ่มหมอก...

                โอ้วววแม่เจ้าาาาา พระเอกมากกกกกกกก ....

                หล่อเลย หล่อมากกก.........

                ถึงไม่หล่อ ก็หล่ออ๊ะ!!!! 

              สักพักหมอกก็จางไป

              แต่ก็ยังคงคลอเคลียเราไปเรื่อย ๆ ... (น่ารักเน๊อะ..)

              ...จากนั้นเราก็เจอฝนห่าใหญ่  ตาย ๆ ๆ วิ่งร่มฝนไปในแปลงกุหลาบ พร้อมพี่ผู้ดูแลสวน และเจ้าหน้าที่พระตำหนักฯ ไงล่ะ....เปียกปอนกันถ้วนหน้า...

              ดูสิ....กุหลาบที่หลบฝนกับเรา ... ^^

แล้วเวลาก็หมดลง 16.00 น.

...

กำลังเพลิดเพลินเลยน่ะ

เสียใจอ่ะ

เวลาหมดลงเร็วจัง

....T____T... 

อ๊ากกก ยังไม่ได้ถ่ายรูปเลยน๊ะ!!!!

ระหว่าง...กลับลงไปที่ดอยสุเทพ....

เราก็มีหมอกมาส่ง อิอิ

O(≧∇≦)O

(แอบมาบอกว่า....ทริปเชียงใหม่แบบบังเอิญนี้เราไปตั้ง 10 วันแน่ะ)

http://listening.exteen.com