This is default featured slide 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555

จดหมายข้ามฝั่งโขง...ฉบับที่หนึ่ง

ถึงเธอ...

     พอใกล้ปลายฝนฉันก็คิด ๆ เอาไว้ว่าจะไปเที่ยวไหนดี ด้วยเวลาและงบประมาณอันจำกัดทำให้ฉันตัดสินใจว่าจะเดินทางไปบ้านพี่เมือง น้องอย่าง 'ลาว'..น่าจะดี...และยังอยากจะไปประเทศเพื่อนบ้านอีกหลายประเทศเกาะกระแส AEC กับเขาสักหน่อย...

     กำหนดการที่ฉันวางไว้คือเดินทางจากรุงเทพไปอุดรธานีตอนกลางคืน เช้ามาก็ซื้อตั๋วรถทัวร์ของบริษัทขนส่งจากกรุงเทพตรงไปวังเวียง เราจะแวะพักที่วังเวียงหนึ่งวัน หลังจากนั้นจะไปหลวงพระบางอีกสองวันแล้วเดินทางกลับด้วยสายการบินลาวมาแวะ เวียงจันทน์ แล้วค่อยนั่งรถข้ามโขงกลับมาฝั่งไทย...แค่การเดินทางก็กินเวลาของเราไปถึง ครึ่งหนึ่งแล้ว ฉันคงเที่ยวได้ไม่ครบทุกที่อย่างที่ได้วางแผนไว้หรอก...แต่ก็เอาเถอะ...แค่ ได้ออกเดินทางไปเจอบ้านเมืองใหม่ ๆ ไปเจอผู้คนใหม่ ๆ ก็คงให้อะไรกับฉันได้มากมายแล้ว

     สิ่งที่ฉันกลัวที่สุดสำหรับการเดินทางก็คือ 'เมารถ' ฉันเป็นพวกขี้เมาขนาดหนักเธอก็รู้ แค่นั่งรถระยะสั้น ๆ อย่างนั่งแท็กซี่หรือรถเมล์บางสายในกรุงเทพก็ยังทำให้ฉันออกอาการได้ นับประสาอะไรกับหนทางคดเคี้ยวอย่างเส้นทางไปหลวงพระบาง ฉันหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตอย่างมโหฬารว่าด้วยแก้ปัญหาเมารถ...และเตรียม ทั้งยาแก้เมารถ ยาหอม ยาอม  ยาดม ยาลม ยาหม่อง และพลาสเตอร์แก้ปวดชนิดเย็นมาแปะที่สะดือ...หวังว่าจะช่วยชีวิตฉันได้บ้าง หรือถ้ามีอาหารเมารถก็ขอให้ไม่แย่จนเกินไปนัก...

     วันแรกไป วังเวียง...เรา ออกเดินทางไปถึงขนส่งอุดรธานีตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่...ตีสี่กว่า ๆ เท่านั้นเอง...แต่ทว่าช่องขายตั๋วไปวังเวียงจะเปิดขายตอนหกโมงครึ่งก็เลยได้ แต่นั่งเล่นนอนเล่นไปเรื่อย ๆ ... การนั่งรอรถทัวร์ หรือการรอขึ้นเครื่องบินเป็นอะไรที่ฝึกความอดทนได้ดีอย่างนึงเหมือนกันนะเธอ ต้องหาอะไรทำ หาเรื่องคุยฆ่าเวลากันไปเรื่อย

     ในที่สุดเราก็ได้ตั๋วไปวังเวียง เจ็ดโมงเช้ารถก็ออกทันที...ฉันควักเอาสารพัดยาขึ้นมาใช้ป้องกันการเมารถไว้ แต่เนิ่น ๆ พอรถมาถึงด่านไทย-ลาว ก็ต้องไปทำพิธีผ่านเข้าเมือง เห็นว่าถ้ามีพาสปอร์ตเราจะอยู่ในลาวได้นานสามสิบวัน แต่ถ้าไม่มีเราสามารถใช้บัตรผ่านแดนได้แต่อยู่ได้แค่เวียงจันท์เท่านั้น เอง...ระหว่างนี้บางคนไปแลกเงินเตรียมไปใช้จ่าย คนขับรถบอกว่าใช้เงินไทยเอาก็ได้ง่ายดี แต่ฉันเคยเห็นข่าวเมื่อไม่นานมานี้ว่า ทางการลาวเริ่มเข้มงวดให้ใช้เงินลาวไม่งั้นจะโดนปรับเป็นหลายแสน (กีบ) ไม่รู้ว่าจริงเท็จ หรือเข้มงวดแค่ไหน แต่ฉันว่าแลกเงินลาวไปบ้างก็ไม่เสียหลาย...ได้ฝึกคิดเลขเร็วบ้างไม่ให้สมอง ซีกซ้ายฝ่อไปเฉย ๆ

     ว่ากันไปนั่น...แต่พอถึงเวลาจริง ๆ เราก็ต้องใช้เงินไทยอยู่ดี...เพราะใช้เงินกระจายเกินงบที่แลกไปเสียเยอะเลย...

     เราเดินทางไปถึงวังเวียงตอนบ่ายสองโมงกว่า ๆ ...สารพัดวิธีแก้เมารถที่ฉันสรรหามาใช้ได้ผลดี...ฉันไม่มีอาการเมารถเลยสัก นิด เสียแต่ว่าหลับเกือบตลอดทางเท่านั้นเอง บ่ายวันนั้นแดดกำลังร้อนและเราก็รู้สึกหิวมาก...หลังจากเข้าบังกะโลที่จอง ไว้แล้วแล้วก็หาร้านกินข้าวเป็นอันดับแรก...ตอนกินลืมดูราคาแค่สองคนเลยหมด ไปเป็นแสน เวลาหิวนี่ทำให้หน้ามืดได้จริง ๆ แต่ของที่ได้มาก็คุ้มนะ กับข้าวกับปลาจานใหญ่เบ้อเริ่ม...อิ่มไปหลายชั่วโมง

     หลังจากท้องอิ่มแล้วเรากลับไปที่พักได้เจอคนที่เดินทางมาด้วยรถคันเดียวกัน กับเราจึงได้เอ่ยทักทายกันบ้าง...ความน่ารักอย่างหนึ่งของการเดินทาง คือการที่เราจะได้คุยกับคนแปลกหน้า ได้แลกเปลี่ยนข้อมูล ได้หัวเราะด้วยกันอย่างไม่รู้สึกขัดเขิน แบบที่เราไม่เคยได้ทำเมื่อใช้ชีวิตประจำวันทั่วไป...หลายคนหลงรักการเดินทาง เพราะสาเหตุนี้ด้วยเหมือกัน...

     วังเวียงมีจุดเด่นคือธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ คนส่วนมากที่มาเที่ยวจะเน้นไปน้ำตก ชมถ้าต่าง ๆ ล่องเรือ พายเรือเล่น หรือทำกิจกรรมแนวผจญภัย...ฉันเองมีเวลาไม่มากจึงเลือกดื่มด่ำกับความงามริมแม่น้ำซองแบบง่าย ๆ และให้รถพาไปเที่ยว 'ถ้ำจัง' ซึ่งเป็นถ้ำที่ใกล้ที่สุดใช้เวลาในการเดินทางน้อยที่สุด เราไปถึงถ้ำแต่ว่าไม่ได้เข้าถ้ำหรอกเธอ..เพราะน้องที่ไปด้วยกันเธอค่อนข้าง กลัวที่แคบเลยไม่ชอบถ้ำเท่าไหร่...ที่สำคัญคือไปถึงก็ใกล้เวลาปิดเข้าชมแล้ว แค่ถ่ายรูปก็กินเวลาไปเยอะ หากจะต้องขึ้นบันไดอีกร้อยกว่าขั้นไปถึงข้างบนคงไม่ทันได้เข้าถ้ำ มืดค่ำแล้วพาลจะกลับลำบาก...เราก็ได้แต่ชอบทิวทัศน์รอบ ๆ และไหว้พระขอพรเท่านั้นเอง

     หลังจากนั้นเราก็ให้รถมาส่งยังที่พัก...วังเวียงยามเย็นอากาศดี เราเดินไปรอบ ๆ ที่พักและบริเวณใกล้เคียง ชมวิวริมแม่น้ำ ดูนักท่องเที่ยวเกาะห่วงยางลอยเท้งเต้มไปตามกระแสน้ำจากที่ไกล ๆ

     ...ท่ามกลางธรรมชาติอันยิ่งใหญ่...มนุษย์กลายเป็นมดตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่งเท่านั้นเอง...

     อาหารค่ำของเราในวันนั้นเป็นขนมปังฝรั่งเศสผ่าตรงกลางแล้วใส่ไก่ทอด ใส่เบคอน มะเขือเทศ หัวหอม ผักกาดหอม และแตงกวา ราดทับด้วยซอสมะเขือเทศ ซอสพริก และมายองเนส ทางนั้นเค้าเรียกว่า..แซนด์วิช...อันนึงใหญ่เบ้อเริ่มเราต้องขอให้แม่ค้าหั่นแบ่งครึ่งเพื่อแบ่งกันกิน เราสั่งโรตี หรือที่ทางนั้นเรียกว่า...แพนเค้ก...อีก ชิ้นซึ่งต้องแบ่งกันกินเหมือนกัน ราคาสองอย่างสามหมื่นกีบ เป็นเงินไทยราวร้อยยี่สิบบาท กินได้สองคนถือว่าไม่แพงนัก ที่ฉันสังเกตุคือบ้านเมืองอื่นคือทำไมอาหารเค้าชิ้นใหญ่ หรือจานใหญ่โตนัก ขอเล็กกว่านี้และถูกลงกว่านี้ก็จะดีมากเลย...แต่มันก็เป็นปัญหาของฉันคน เดียวเท่านั้นแหละ คนอื่นเค้าอาจจะไม่ได้เป็นปัญหาอะไรก็ได้

     เหมือนอย่างขนมปังฝรั่งเศสที่ฉันว่ามันแข็งไป...คนที่กินบ่อย ๆ ก็ไม่คิดอย่างนั้น กลับเป็นอาหารหลักที่ขายดีทั้งคนลาวทั้งฝรั่งด้วยซ้ำ ต่างคน ต่างวัฒนธรรม ต่างความชอบ...ในความแตกต่างนั้นแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ทำให้โลกนี้มี สีสัน มีมิติที่น่าสนใจ...ทำให้เราสนุกมากยิ่งขึ้นเมื่อได้เรียนรู้กันและกัน

     พลบค่ำ...เมืองวังเวียงพราวพรายไปด้วยแสงไฟ นักท่องเที่ยวออกมากินดื่มกันคึกคัก ทราบมาว่าเมืองวังเวียงเพิ่งจัดระเบียบให้จำกัดเวลาในการเปิดผับบาร์ และลดจำนวนร้านรวงริมน้ำให้น้อยลงเพื่อรัษาความสงบและสภาพแวดล้อมตาม ธรรมชาติ เพราะแค่รีสอร์ทหรือบ้านพักมากมายที่ผุดขึ้นเยอะแยะริมน้ำก็แทบจะบดบัง ทิวทัศน์ริมน้ำไปทั้งแนวแล้ว ถ้าไม่จัดระเบียบกันบ้างคงจะเละเทะไปใหญ่ ในบังกะโลถึงกับมีป้ายเตือนเรื่องห้ามนำยาเสพติดเข้ามาเด็ดขาด...ทำให้เดา ได้ว่าว่า ก่อนหน้านี้วังเวียงคงจะมีปัญหาอยู่ไม่น้อย...เช่นเดียวกับสถานที่ท่อง เที่ยวหลาย ๆ แห่งในเมืองไทย ที่เมื่อไหร่คนมาก ๆ เข้าไปถึงและไม่มีการจัดการที่ดี ความเละเทะย่อมตามมา

     คืนนั้น...เราเข้านอนเร็วเพื่อเก็บแรงไว้เดินทางต่อ...

     เช้าวันใหม่เราก็ยังมีเวลาได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นและชมวิวกุ้ยหลินเมืองลาว อากาศสดชื่นลมเย็นจนเสียดายที่ไม่ได้อยู่ต่อสักหลาย ๆ วัน และหากว่าได้อยู่สักพักคงจะเขียนหนังสือให้เธอได้อ่านเป็นเล่ม ๆ เพราะบรรยากาศมันชวนจินตนาการดีเหลือเกิน

     ก่อนหันหลังให้วังเวียง...ฉันหยุดฟังเสียงธรรมชาติรอบตัว...และส่งความคิดถึงข้ามน้ำข้ามฟ้าไปหาเธอด้วย...

    ...ได้รับแล้วใช่ไหม...

ฉันเอง...

อ่านต่อได้ที่ http://sweetdelight.exteen.com/20121119/entry

จดหมายข้ามฝั่งโขง...ฉบับที่หนึ่ง

ถึงเธอ...

     พอใกล้ปลายฝนฉันก็คิด ๆ เอาไว้ว่าจะไปเที่ยวไหนดี ด้วยเวลาและงบประมาณอันจำกัดทำให้ฉันตัดสินใจว่าจะเดินทางไปบ้านพี่เมือง น้องอย่าง 'ลาว'..น่าจะดี...และยังอยากจะไปประเทศเพื่อนบ้านอีกหลายประเทศเกาะกระแส AEC กับเขาสักหน่อย...

     กำหนดการที่ฉันวางไว้คือเดินทางจากรุงเทพไปอุดรธานีตอนกลางคืน เช้ามาก็ซื้อตั๋วรถทัวร์ของบริษัทขนส่งจากกรุงเทพตรงไปวังเวียง เราจะแวะพักที่วังเวียงหนึ่งวัน หลังจากนั้นจะไปหลวงพระบางอีกสองวันแล้วเดินทางกลับด้วยสายการบินลาวมาแวะ เวียงจันทน์ แล้วค่อยนั่งรถข้ามโขงกลับมาฝั่งไทย...แค่การเดินทางก็กินเวลาของเราไปถึง ครึ่งหนึ่งแล้ว ฉันคงเที่ยวได้ไม่ครบทุกที่อย่างที่ได้วางแผนไว้หรอก...แต่ก็เอาเถอะ...แค่ ได้ออกเดินทางไปเจอบ้านเมืองใหม่ ๆ ไปเจอผู้คนใหม่ ๆ ก็คงให้อะไรกับฉันได้มากมายแล้ว

     สิ่งที่ฉันกลัวที่สุดสำหรับการเดินทางก็คือ 'เมารถ' ฉันเป็นพวกขี้เมาขนาดหนักเธอก็รู้ แค่นั่งรถระยะสั้น ๆ อย่างนั่งแท็กซี่หรือรถเมล์บางสายในกรุงเทพก็ยังทำให้ฉันออกอาการได้ นับประสาอะไรกับหนทางคดเคี้ยวอย่างเส้นทางไปหลวงพระบาง ฉันหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตอย่างมโหฬารว่าด้วยแก้ปัญหาเมารถ...และเตรียม ทั้งยาแก้เมารถ ยาหอม ยาอม  ยาดม ยาลม ยาหม่อง และพลาสเตอร์แก้ปวดชนิดเย็นมาแปะที่สะดือ...หวังว่าจะช่วยชีวิตฉันได้บ้าง หรือถ้ามีอาหารเมารถก็ขอให้ไม่แย่จนเกินไปนัก...

     วันแรกไป วังเวียง...เรา ออกเดินทางไปถึงขนส่งอุดรธานีตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่...ตีสี่กว่า ๆ เท่านั้นเอง...แต่ทว่าช่องขายตั๋วไปวังเวียงจะเปิดขายตอนหกโมงครึ่งก็เลยได้ แต่นั่งเล่นนอนเล่นไปเรื่อย ๆ ... การนั่งรอรถทัวร์ หรือการรอขึ้นเครื่องบินเป็นอะไรที่ฝึกความอดทนได้ดีอย่างนึงเหมือนกันนะเธอ ต้องหาอะไรทำ หาเรื่องคุยฆ่าเวลากันไปเรื่อย

     ในที่สุดเราก็ได้ตั๋วไปวังเวียง เจ็ดโมงเช้ารถก็ออกทันที...ฉันควักเอาสารพัดยาขึ้นมาใช้ป้องกันการเมารถไว้ แต่เนิ่น ๆ พอรถมาถึงด่านไทย-ลาว ก็ต้องไปทำพิธีผ่านเข้าเมือง เห็นว่าถ้ามีพาสปอร์ตเราจะอยู่ในลาวได้นานสามสิบวัน แต่ถ้าไม่มีเราสามารถใช้บัตรผ่านแดนได้แต่อยู่ได้แค่เวียงจันท์เท่านั้น เอง...ระหว่างนี้บางคนไปแลกเงินเตรียมไปใช้จ่าย คนขับรถบอกว่าใช้เงินไทยเอาก็ได้ง่ายดี แต่ฉันเคยเห็นข่าวเมื่อไม่นานมานี้ว่า ทางการลาวเริ่มเข้มงวดให้ใช้เงินลาวไม่งั้นจะโดนปรับเป็นหลายแสน (กีบ) ไม่รู้ว่าจริงเท็จ หรือเข้มงวดแค่ไหน แต่ฉันว่าแลกเงินลาวไปบ้างก็ไม่เสียหลาย...ได้ฝึกคิดเลขเร็วบ้างไม่ให้สมอง ซีกซ้ายฝ่อไปเฉย ๆ

     ว่ากันไปนั่น...แต่พอถึงเวลาจริง ๆ เราก็ต้องใช้เงินไทยอยู่ดี...เพราะใช้เงินกระจายเกินงบที่แลกไปเสียเยอะเลย...

     เราเดินทางไปถึงวังเวียงตอนบ่ายสองโมงกว่า ๆ ...สารพัดวิธีแก้เมารถที่ฉันสรรหามาใช้ได้ผลดี...ฉันไม่มีอาการเมารถเลยสัก นิด เสียแต่ว่าหลับเกือบตลอดทางเท่านั้นเอง บ่ายวันนั้นแดดกำลังร้อนและเราก็รู้สึกหิวมาก...หลังจากเข้าบังกะโลที่จอง ไว้แล้วแล้วก็หาร้านกินข้าวเป็นอันดับแรก...ตอนกินลืมดูราคาแค่สองคนเลยหมด ไปเป็นแสน เวลาหิวนี่ทำให้หน้ามืดได้จริง ๆ แต่ของที่ได้มาก็คุ้มนะ กับข้าวกับปลาจานใหญ่เบ้อเริ่ม...อิ่มไปหลายชั่วโมง

     หลังจากท้องอิ่มแล้วเรากลับไปที่พักได้เจอคนที่เดินทางมาด้วยรถคันเดียวกัน กับเราจึงได้เอ่ยทักทายกันบ้าง...ความน่ารักอย่างหนึ่งของการเดินทาง คือการที่เราจะได้คุยกับคนแปลกหน้า ได้แลกเปลี่ยนข้อมูล ได้หัวเราะด้วยกันอย่างไม่รู้สึกขัดเขิน แบบที่เราไม่เคยได้ทำเมื่อใช้ชีวิตประจำวันทั่วไป...หลายคนหลงรักการเดินทาง เพราะสาเหตุนี้ด้วยเหมือกัน...

     วังเวียงมีจุดเด่นคือธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ คนส่วนมากที่มาเที่ยวจะเน้นไปน้ำตก ชมถ้าต่าง ๆ ล่องเรือ พายเรือเล่น หรือทำกิจกรรมแนวผจญภัย...ฉันเองมีเวลาไม่มากจึงเลือกดื่มด่ำกับความงามริมแม่น้ำซองแบบง่าย ๆ และให้รถพาไปเที่ยว 'ถ้ำจัง' ซึ่งเป็นถ้ำที่ใกล้ที่สุดใช้เวลาในการเดินทางน้อยที่สุด เราไปถึงถ้ำแต่ว่าไม่ได้เข้าถ้ำหรอกเธอ..เพราะน้องที่ไปด้วยกันเธอค่อนข้าง กลัวที่แคบเลยไม่ชอบถ้ำเท่าไหร่...ที่สำคัญคือไปถึงก็ใกล้เวลาปิดเข้าชมแล้ว แค่ถ่ายรูปก็กินเวลาไปเยอะ หากจะต้องขึ้นบันไดอีกร้อยกว่าขั้นไปถึงข้างบนคงไม่ทันได้เข้าถ้ำ มืดค่ำแล้วพาลจะกลับลำบาก...เราก็ได้แต่ชอบทิวทัศน์รอบ ๆ และไหว้พระขอพรเท่านั้นเอง

     หลังจากนั้นเราก็ให้รถมาส่งยังที่พัก...วังเวียงยามเย็นอากาศดี เราเดินไปรอบ ๆ ที่พักและบริเวณใกล้เคียง ชมวิวริมแม่น้ำ ดูนักท่องเที่ยวเกาะห่วงยางลอยเท้งเต้มไปตามกระแสน้ำจากที่ไกล ๆ

     ...ท่ามกลางธรรมชาติอันยิ่งใหญ่...มนุษย์กลายเป็นมดตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่งเท่านั้นเอง...

     อาหารค่ำของเราในวันนั้นเป็นขนมปังฝรั่งเศสผ่าตรงกลางแล้วใส่ไก่ทอด ใส่เบคอน มะเขือเทศ หัวหอม ผักกาดหอม และแตงกวา ราดทับด้วยซอสมะเขือเทศ ซอสพริก และมายองเนส ทางนั้นเค้าเรียกว่า..แซนด์วิช...อันนึงใหญ่เบ้อเริ่มเราต้องขอให้แม่ค้าหั่นแบ่งครึ่งเพื่อแบ่งกันกิน เราสั่งโรตี หรือที่ทางนั้นเรียกว่า...แพนเค้ก...อีก ชิ้นซึ่งต้องแบ่งกันกินเหมือนกัน ราคาสองอย่างสามหมื่นกีบ เป็นเงินไทยราวร้อยยี่สิบบาท กินได้สองคนถือว่าไม่แพงนัก ที่ฉันสังเกตุคือบ้านเมืองอื่นคือทำไมอาหารเค้าชิ้นใหญ่ หรือจานใหญ่โตนัก ขอเล็กกว่านี้และถูกลงกว่านี้ก็จะดีมากเลย...แต่มันก็เป็นปัญหาของฉันคน เดียวเท่านั้นแหละ คนอื่นเค้าอาจจะไม่ได้เป็นปัญหาอะไรก็ได้

     เหมือนอย่างขนมปังฝรั่งเศสที่ฉันว่ามันแข็งไป...คนที่กินบ่อย ๆ ก็ไม่คิดอย่างนั้น กลับเป็นอาหารหลักที่ขายดีทั้งคนลาวทั้งฝรั่งด้วยซ้ำ ต่างคน ต่างวัฒนธรรม ต่างความชอบ...ในความแตกต่างนั้นแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ทำให้โลกนี้มี สีสัน มีมิติที่น่าสนใจ...ทำให้เราสนุกมากยิ่งขึ้นเมื่อได้เรียนรู้กันและกัน

     พลบค่ำ...เมืองวังเวียงพราวพรายไปด้วยแสงไฟ นักท่องเที่ยวออกมากินดื่มกันคึกคัก ทราบมาว่าเมืองวังเวียงเพิ่งจัดระเบียบให้จำกัดเวลาในการเปิดผับบาร์ และลดจำนวนร้านรวงริมน้ำให้น้อยลงเพื่อรัษาความสงบและสภาพแวดล้อมตาม ธรรมชาติ เพราะแค่รีสอร์ทหรือบ้านพักมากมายที่ผุดขึ้นเยอะแยะริมน้ำก็แทบจะบดบัง ทิวทัศน์ริมน้ำไปทั้งแนวแล้ว ถ้าไม่จัดระเบียบกันบ้างคงจะเละเทะไปใหญ่ ในบังกะโลถึงกับมีป้ายเตือนเรื่องห้ามนำยาเสพติดเข้ามาเด็ดขาด...ทำให้เดา ได้ว่าว่า ก่อนหน้านี้วังเวียงคงจะมีปัญหาอยู่ไม่น้อย...เช่นเดียวกับสถานที่ท่อง เที่ยวหลาย ๆ แห่งในเมืองไทย ที่เมื่อไหร่คนมาก ๆ เข้าไปถึงและไม่มีการจัดการที่ดี ความเละเทะย่อมตามมา

     คืนนั้น...เราเข้านอนเร็วเพื่อเก็บแรงไว้เดินทางต่อ...

     เช้าวันใหม่เราก็ยังมีเวลาได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นและชมวิวกุ้ยหลินเมืองลาว อากาศสดชื่นลมเย็นจนเสียดายที่ไม่ได้อยู่ต่อสักหลาย ๆ วัน และหากว่าได้อยู่สักพักคงจะเขียนหนังสือให้เธอได้อ่านเป็นเล่ม ๆ เพราะบรรยากาศมันชวนจินตนาการดีเหลือเกิน

     ก่อนหันหลังให้วังเวียง...ฉันหยุดฟังเสียงธรรมชาติรอบตัว...และส่งความคิดถึงข้ามน้ำข้ามฟ้าไปหาเธอด้วย...

    ...ได้รับแล้วใช่ไหม...

ฉันเอง...

อ่านต่อได้ที่ http://sweetdelight.exteen.com/20121119/entry